เหตุผลที่ประเทศไทย "ไม่อาจปฏิเสธ" การจัดการศพทหารกัมพูชา – เพราะนี่คือหน้าที่มนุษยธรรมและจริยธรรมของรัฐอารยะ
วันนี้ดิฉันขออนุญาตนำเสนอประเด็นที่น่าคิดและเป็นเรื่องละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง ซึ่งเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ยังคงมีความตึงเครียด และมีการสูญเสียชีวิตของทหารฝ่ายกัมพูชาในพื้นที่ชายแดนฝั่งไทย โดยเฉพาะบริเวณปราสาทตาควาย ตาเมือนธม และตาเมือนโต๊ด ซึ่งเป็นดินแดนในเขตไทยค่ะ
ขณะนี้ มีศพของทหารกัมพูชาหลายรายที่ยังไม่มีการเก็บกู้หรือส่งกลับประเทศ แม้ฝ่ายไทยจะพยายามประสานเพื่อส่งคืนตามหลักมนุษยธรรมแล้ว แต่ยังไม่มีการตอบรับจากทางการกัมพูชาอย่างเป็นทางการ
เรื่องนี้ได้รับการชี้แจงจาก นพ.ฆนัท ครุธกูล ซึ่งเป็นนายกสมาคมสมาพันธ์สถานประกอบการเพื่อสุขภาพและผู้สูงอายุ ท่านได้ให้เหตุผลสำคัญว่า ประเทศไทยไม่สามารถนิ่งเฉยหรือละเลยการจัดการศพได้ ด้วยเหตุผล 4 ประการหลัก ๆ ดังนี้ค่ะ
1. เพราะศพอยู่ในเขตแผ่นดินไทย
ประเทศไทยเป็นเจ้าของพื้นที่โดยตรง จึงมีหน้าที่ทางกฎหมายและจริยธรรมที่จะต้องดูแลจัดการศพ ไม่ว่าผู้เสียชีวิตจะเป็นฝ่ายใด หากปล่อยไว้ อาจถูกมองว่าไทยละเลยสิทธิมนุษยชน และอาจกระทบต่อภาพลักษณ์ในเวทีโลก
2. เพื่อเคารพศักดิ์ศรีของผู้เสียชีวิต
แม้จะเป็นทหารฝ่ายตรงข้าม แต่การปล่อยให้ศพถูกทิ้งให้เน่าเปื่อย หรือถูกสัตว์กินนั้น ขัดต่อจารีตประเพณีของไทย และขัดต่อหลักมนุษยธรรมสากลอย่างร้ายแรง ดิฉันเชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการปล่อยให้เกิดภาพเหล่านี้แน่นอนค่ะ
3. เพื่อป้องกันโรคระบาด
ศพที่เน่าเปื่อยในป่าอาจกลายเป็นแหล่งแพร่เชื้อโรค เช่น โรคฉี่หนู อหิวาต์ หรือไข้เลือดออก โดยเฉพาะในพื้นที่ร้อนชื้นอย่างบ้านเรา ซึ่งไม่ใช่แค่ปัญหาด้านสุขภาพเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนรอบข้างด้วย
4. เพื่อปฏิบัติตามอนุสัญญาสากล
ตาม อนุสัญญาเจนีวา ปี 1949 ซึ่งไทยเป็นภาคี ประเทศที่พบศพของทหารฝ่ายตรงข้ามในเขตตนเอง ต้องจัดการศพอย่างเหมาะสม และเก็บข้อมูลอัตลักษณ์ไว้ให้ชัดเจน ถือเป็นภาระหน้าที่ระหว่างประเทศที่เราไม่อาจละเลยได้เลยค่ะ
แนวทางที่ประเทศไทยควรทำ
นพ.ฆนัท ได้เสนอแนวทางไว้ชัดเจนและน่าชื่นชมค่ะ เช่น
ประกาศเจตนารมณ์ว่าไทยจะดำเนินการด้วยหลักมนุษยธรรม
เชิญหน่วยงานกลาง เช่น ICRC หรือ UN เข้าร่วมสังเกตการณ์
ตั้งหน่วยเฉพาะกิจที่มีทั้งทีมแพทย์ EOD และเจ้าหน้าที่ด้านสิทธิมนุษยชน
เก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ ทั้งภาพถ่าย พิกัด DNA
ฝังศพในพื้นที่ควบคุม พร้อมบันทึกข้อมูลส่งให้หน่วยงานระหว่างประเทศ
การจัดการศพ ≠ การยอมรับใด ๆ
ประเด็นสำคัญอีกเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจให้ตรงกันคือ การจัดการศพของทหารกัมพูชา ไม่ใช่การแสดงความยอมจำนน หรือ “ยอมแพ้” ต่ออีกฝ่าย แต่เป็นการแสดงออกซึ่งความมีมนุษยธรรมในแบบของรัฐอารยะ
ประเทศไทยมีสิทธิ์เต็มที่ในการดูแลพื้นที่ของตน และการดำเนินการใด ๆ ก็ล้วนอยู่ภายใต้กฎหมายและหลักสิทธิมนุษยชนทั้งสิ้น
ดิฉันในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ขอเห็นด้วยกับแนวทางของคุณหมอฆนัทเป็นอย่างยิ่งค่ะ เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เพียงแค่ “การจัดการศพ” เท่านั้น แต่คือการปกป้องศักดิ์ศรีของรัฐไทยในสายตานานาประเทศ และแสดงให้เห็นว่าเรายังคงยืนอยู่บนหลักของความมีมนุษยธรรม แม้ในยามที่สถานการณ์ชายแดนยังไม่นิ่งก็ตาม
สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงความเป็นไทย ความเป็นมนุษย์ และความมีสำนึกรับผิดชอบในฐานะชาติที่เจริญแล้ว
หวังว่ากระทู้นี้จะช่วยให้หลายท่านเข้าใจเจตนารมณ์ของไทยได้ชัดเจนขึ้นนะคะ





