พุ่งเป้าทันที! เงินวัดหายเพียบ "บิ๊กเต่า" จี้สอบเส้นเงิน สร้างบ้าน-ซื้อรถจริงหรือไม่?
เปิดปมดราม่า! หมอดูชื่อดังถูกแฉ ใช้เงินบริจาคซื้อรถ-สร้างบ้านแทนการถวายวัด พร้อมตั้งคำถามบัญชีวัดแต่เบิกเงินได้คนเดียว?
วันที่ 6 สิงหาคม 2568 สังคมออนไลน์เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักอีกครั้ง เมื่อเพจเฟซบุ๊กชื่อดังอย่าง “ท่านเปา” ได้ออกมาเปิดเผยพฤติกรรมของหมอดูชื่อดังรายหนึ่ง ซึ่งเคยเป็นกระแสในประเด็นเงินบริจาคก่อนหน้านี้ โดยในครั้งนี้ มีการกล่าวหาว่าหมอดูดังกล่าวนำ เงินบริจาคที่ระบุว่าจะถวายวัด ไปใช้ส่วนตัว ทั้ง ซื้อรถยนต์ใช้เองก่อนถวาย รวมถึงการนำเงินไป สร้างบ้านหลังใหญ่ แทนที่จะใช้สร้างสถานปฏิบัติธรรมตามที่ได้แจ้งไว้ก่อนหน้า
เรื่องราวเริ่มตึงเครียดมากขึ้นเมื่อมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงในสำนักงานตำรวจสอบสวนกลาง ออกมาเปิดเผยข้อมูลที่ชี้ให้เห็นถึงความ ไม่โปร่งใสของบัญชีรับบริจาค โดยเฉพาะการใช้ ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ ในการเปิดบัญชีรับเงินบริจาค แต่กลับพบว่า คนที่สามารถเบิกถอนเงินจากบัญชีนั้นได้มีเพียงหมอดูคนเดียว ซึ่งอาจเข้าข่ายความผิดทางกฎหมายและเป็นเรื่องที่ต้องตรวจสอบอย่างเร่งด่วน
เพจดังเปิดโปง หมอดูชื่อดังใช้เงินบริจาคส่วนตัว
ตามโพสต์ของเพจ “ท่านเปา” ได้ระบุว่า หมอดูคนดังกล่าวได้อ้างกับ หลวงพ่ออลงกต เจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ ว่าตนเองได้นำเงินบริจาคจากผู้ศรัทธาไปซื้อรถเพื่อเตรียม ถวายให้วัด ซึ่งในเบื้องต้นดูเหมือนจะไม่มีอะไรผิดปกติ จนกระทั่งหลวงพ่ออลงกตได้รับการติดต่อจากเจ้าหน้าที่ กองปราบปราม ว่ามีข้อมูลว่า หมอดูผู้นี้ ใช้รถดังกล่าวเองก่อนจะถวาย และยังไม่มีการถวายอย่างเป็นทางการแต่อย่างใด
เมื่อหลวงพ่อสอบถาม หมอดูคนดังกล่าวก็ ยอมรับว่าเป็นความจริง พร้อมให้เหตุผลว่า “รู้เท่าไม่ถึงการณ์” และขอให้ทางวัดให้อภัย ด้วยความเมตตา หลวงพ่ออลงกตจึง ยังไม่ได้ดำเนินคดี หรือแจ้งความในช่วงเวลานั้น
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่กรณีเดียวที่ถูกเปิดเผย
จากสร้างสถานปฏิบัติธรรม สู่บ้านหรูมูลค่า 40-50 ล้านบาท?
เพจเดียวกันยังได้เปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมว่า หมอดูรายนี้ได้เคยแจ้งกับหลวงพ่ออลงกตว่า มีความประสงค์จะสร้างสถานปฏิบัติธรรม และขอรับเงินบริจาคจากผู้ศรัทธาเพื่อใช้ในโครงการดังกล่าว แต่ภายหลังกลับพบว่าเงินจำนวนดังกล่าว ถูกนำไปสร้างบ้านพักอาศัยส่วนตัว มูลค่าประมาณ 40-50 ล้านบาท แทน
ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ และยังไม่มีการเปิดเผยเอกสารหรือหลักฐานการใช้เงินอย่างชัดเจน แต่หากเป็นจริง ก็ถือว่าเข้าข่ายการนำเงินบริจาคที่อ้างว่าเพื่อประโยชน์ของวัด ไปใช้ในทางส่วนตัว ซึ่งอาจมีความผิดตามกฎหมายอย่างร้ายแรง
“บิ๊กเต่า” เปิดประเด็นร้อน บัญชีชื่อวัดแต่คนเดียวเบิกได้?
อีกหนึ่งข้อมูลสำคัญที่ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นใหญ่คือคำแถลงของ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ซึ่งได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า ขณะนี้มีผู้เสียหายได้ยื่นเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับหมอดูชื่อดังรายนี้ พร้อมแนบข้อมูลว่ามีการ เปิดบัญชีรับบริจาคโดยใช้ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ เป็นชื่อบัญชี
แต่สิ่งที่สร้างความสงสัยและอาจเข้าข่ายความผิดคือ บัญชีที่ใช้ชื่อวัดนี้ กลับถูกควบคุมโดยหมอดูคนเดียวเท่านั้น โดยเป็นผู้ที่มีสิทธิ์ในการเบิกถอนเงินเพียงผู้เดียว ทั้งที่ตามหลักแล้ว หากเป็นบัญชีที่ใช้ชื่อวัด จะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของคณะกรรมการวัด และการเบิกจ่ายจะต้องได้รับอนุมัติจากวัดหรือเจ้าอาวาส ไม่สามารถให้บุคคลภายนอกควบคุมบัญชีได้เด็ดขาด
“ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัด ก็ต้องนำเงินไปให้วัด และผู้ที่มีสิทธิ์เบิกถอนต้องเป็นตัวแทนของวัดหรือคณะกรรมการวัด ไม่ใช่ใครก็ได้ที่เปิดบัญชีแล้วใช้ชื่อวัดเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ”
— พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าว
อยู่ระหว่างการตรวจสอบบัญชี: เงินเข้าจริง วัดได้เท่าไหร่?
รอง ผบช.ก. ระบุเพิ่มเติมว่า ขณะนี้กำลังตรวจสอบว่า เงินบริจาคที่เข้าในบัญชีดังกล่าวมีจำนวนเท่าไหร่ และเงินที่วัดได้รับจริงมีจำนวนเท่าไหร่ โดยอยู่ในกระบวนการเรียกเอกสารบัญชี พร้อมสอบปากคำทั้งจากฝั่งหมอดู และเจ้าอาวาสวัด เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง
นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาว่า กรณีดังกล่าวจะเข้าข่าย ความผิดฐานฉ้อโกง หรือไม่ ซึ่งต้องตรวจสอบว่า หมอดูได้ใช้ชื่อวัดในการสร้างความน่าเชื่อถือเพื่อรับบริจาคหรือไม่ และได้แจ้งวัตถุประสงค์ที่ตรงกับการใช้เงินจริงหรือไม่
สังคมตั้งคำถาม: ศรัทธาถูกหลอกหรือเพียง “รู้เท่าไม่ถึงการณ์”?
แม้หมอดูคนดังจะอ้างว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพียง “การรู้เท่าไม่ถึงการณ์” แต่สังคมเริ่มตั้งคำถามว่า การกระทำที่ซับซ้อนและเป็นระบบขนาดนี้ เช่น การเปิดบัญชีชื่อวัด, การนำเงินไปซื้อรถยนต์, การสร้างบ้านหรู แทนการสร้างสถานปฏิบัติธรรม จริงๆ แล้วเป็นเพียงความบังเอิญหรือเป็นแผนที่วางไว้ตั้งแต่ต้น?
ผู้ศรัทธาหลายคนที่เคยบริจาคเงินให้กับหมอดูรายนี้เริ่มออกมาแสดงความไม่พอใจผ่านสื่อออนไลน์ และเรียกร้องให้มีการดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด พร้อมทั้งให้วัดที่เกี่ยวข้องออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงต่อสาธารณะ
ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ในกรณีนี้ อาจมีความผิดในหลายมาตรา โดยเฉพาะหากพบว่า
มีการ แอบอ้างชื่อวัดเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในการรับเงินบริจาค
มีการ เบิกถอนเงินจากบัญชีที่ใช้ชื่อวัดโดยไม่มีอำนาจหน้าที่
มีการ ใช้เงินบริจาคเพื่อประโยชน์ส่วนตัว โดยไม่ได้แจ้งวัตถุประสงค์ที่แท้จริงแก่ผู้บริจาค
ตามประมวลกฎหมายอาญา อาจเข้าข่ายความผิด ฐานฉ้อโกงประชาชน (มาตรา 343) ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุด 5 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ
บทสรุป: เส้นบางๆ ระหว่างศรัทธา กับ การแสวงหาผลประโยชน์
กรณีของหมอดูชื่อดังที่กำลังเป็นข่าวนี้ ถือเป็นอุทาหรณ์ครั้งสำคัญของสังคมไทย ที่ต้องตระหนักว่า “ความศรัทธา” นั้นคือเรื่องส่วนบุคคล แต่เมื่อมีการใช้ความศรัทธานั้นเพื่อ “แสวงหาผลประโยชน์” โดยไม่มีความโปร่งใส ก็อาจนำไปสู่การสูญเสียทั้งความเชื่อมั่น และอาจมีผลทางกฎหมายอย่างรุนแรง
สิ่งที่ผู้ศรัทธาและประชาชนควรร่วมกันเรียกร้องในตอนนี้คือ ความโปร่งใส ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยบัญชีบริจาค, วัตถุประสงค์การใช้เงิน, หรือแม้แต่การขอให้เจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาตรวจสอบอย่างเป็นธรรม
อ้างอิงจาก: FB.ท่านเปา






