ช็อก! กัมพูชาทะลักกลับประเทศ 3 หมื่นคน หลังญาติถูกขู่ยึดที่-ถอนสัญชาติ
วิกฤติแรงงานกัมพูชา: แห่กลับประเทศกว่า 30,000 คน รถติดแน่นหน้าด่านบ้านแหลม หลังถูกกดดันให้กลับบ้าน
จันทบุรี – เช้าวันที่ 6 สิงหาคม 2568 เกิดปรากฏการณ์แรงงานต่างด้าวจากประเทศกัมพูชาเดินทางกลับประเทศเป็นจำนวนมหาศาลกว่า 30,000 คน สร้างความโกลาหลบริเวณด่านชายแดน บ้านแหลม จังหวัดจันทบุรี จนทำให้การจราจรติดขัดเป็นทางยาวกว่า 8 กิโลเมตร และต้องมีการเปิดประตูด่านเต็มกำลังทั้งฝั่งไทยและฝั่งกัมพูชาเพื่อเร่งระบายแรงงานที่เดินทางกลับบ้านอย่างเร่งด่วน
เหตุการณ์ในครั้งนี้เกิดขึ้นภายหลังจากมีกระแสข่าวว่ารัฐบาลกัมพูชาได้ออกมาตรการ กดดันแรงงานที่ถือสองสัญชาติหรืออยู่ในไทยแบบไม่มีเอกสาร โดยขู่ว่าจะมีการ ยึดที่ดินของครอบครัว รวมถึงเรียกญาติพี่น้องให้โทรตามแรงงานกลับประเทศทันที หากยังเพิกเฉยไม่ยอมเดินทางกลับ
การเดินทางอพยพขนาดใหญ่: จุดผ่านแดนบ้านแหลมแน่นขนัดตั้งแต่เช้ามืด
จากการรายงานของผู้สื่อข่าวที่ลงพื้นที่บริเวณ จุดผ่านแดนถาวรตลาดบ้านแหลม ตำบลเทพนิมิต อำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี เมื่อเวลาประมาณ 06.00 น. พบว่าแรงงานชาวกัมพูชาหลายพันคนได้เริ่มทยอยเดินทางมายังจุดดังกล่าวตั้งแต่เช้าตรู่ โดยพากันขนสัมภาระ ข้าวของเครื่องใช้ เสื้อผ้า กระเป๋าเดินทาง รวมถึงของใช้ในครัวเรือนจำนวนมากราวกับขนบ้านกลับไปทั้งหลัง
นอกจากนี้ยังพบว่ามีรถตู้ รถเช่าเหมา และรถบรรทุกขนาดเล็กวิ่งเข้าออกตลอดเวลา บางคันมีแรงงานนั่งอัดแน่นอยู่ด้านในจนล้น บางคันมีสิ่งของผูกหลังคารถจนสูงล้น เป็นภาพที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ถนนสาย 3193-4033 รถติดยาว 8 กิโลเมตร
ถนนสายหลักที่มุ่งหน้าสู่ด่านบ้านแหลม ได้แก่ ถนนสาย 3193 (บ้านผักกาด-บ้านแหลม) และทางเข้าสู่ ถนนสาย 4033 กลายเป็นเส้นทางวิกฤติในเช้าวันนี้ การจราจรเคลื่อนตัวได้ช้ามาก มีรถจอดนิ่งยาวตลอดแนวกว่า 8 กิโลเมตร สร้างความเดือดร้อนทั้งแก่ผู้ที่ใช้ถนนในชีวิตประจำวันและเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองที่ต้องระดมกำลังเร่งระบายรถ
ทางเจ้าหน้าที่จึงจำเป็นต้องเปิดเส้นทางบายพาสสำหรับรถที่ไม่เกี่ยวข้องกับแรงงาน เช่น รถพยาบาลและรถฉุกเฉิน เพื่อให้สามารถเดินทางได้สะดวกและลดความหนาแน่นของจราจรในพื้นที่
แรงงานแห่กลับบ้าน: คลื่นมนุษย์หน้าด่านกว่า 20,000 คน
เมื่อเวลา 07.00 น. บริเวณหน้าด่านฝั่งไทยมีภาพของคลื่นมนุษย์แรงงานชาวกัมพูชาแน่นขนัดจนล้นเต็มพื้นที่ตลาดบ้านแหลม และขยายตัวล้นออกไปถึงถนนหน้าด่าน โดยเจ้าหน้าที่ประเมินว่าในช่วงเวลาดังกล่าวมีแรงงานมารอข้ามด่านแล้วมากกว่า 20,000 คน
ช่วงเวลา 09.00 น. ทางฝ่ายไทยได้เปิด ประตูด่านฝั่งไทยทั้งประตูเล็กและประตูใหญ่ พร้อมกัน เพื่อเร่งระบายแรงงานที่รออยู่ ขณะเดียวกันฝั่งกัมพูชาที่ด่านช่องโดงก็เปิดประตูทั้ง 2 ด้านเพื่อรับคนกลับประเทศอย่างรวดเร็ว
ที่มาของวิกฤติ: แรงข่าว “โดนยึดที่” จากฝั่งเขมร จุดไฟอพยพครั้งใหญ่
หนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้แรงงานกัมพูชาเร่งรีบกลับประเทศในระยะเวลาอันสั้น คือกระแสข่าวจากฝั่งประเทศกัมพูชาว่า รัฐบาลกำลังจะยึดที่ดินของครอบครัวแรงงานที่ไม่ยอมกลับประเทศ โดยมีการสั่งการระดับท้องถิ่นให้ลงพื้นที่ตรวจสอบรายชื่อ และขู่ยึดสิทธิ์ในที่ดินหรือเอกสารกรรมสิทธิ์หากพบว่าเจ้าของอยู่ในประเทศไทยแบบไม่ถูกต้องตามกฎหมายหรือถือสองสัญชาติ
ข่าวนี้สร้างความตกใจให้กับแรงงานหลายหมื่นคนที่อาศัยและทำงานในประเทศไทย ทั้งในระบบและนอกระบบ โดยมีรายงานว่าญาติพี่น้องในประเทศกัมพูชาได้เริ่ม โทรแจ้งเตือนแรงงาน ให้รีบเดินทางกลับก่อนที่จะสายเกินไป บางครอบครัวถึงขั้นขอร้องให้กลับบ้านเพื่อปกป้องสิทธิ์ในทรัพย์สินของครอบครัว
เสียงจากแรงงาน: "ไม่อยากกลับ แต่ไม่มีทางเลือก"
แรงงานชาวกัมพูชาหลายรายเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า พวกเขาไม่อยากกลับประเทศในเวลานี้ เพราะยังมีงาน มีรายได้ และยังมีลูกเล็กที่ต้องเลี้ยงดูในไทย แต่หากเลือกอยู่ต่อ ครอบครัวที่บ้านก็จะได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะการสูญเสียที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์สินเพียงชิ้นเดียวของครอบครัว
“เรารู้ว่าอยู่ที่นี่ยังมีรายได้ แต่มันไม่คุ้มถ้ากลับไปแล้วไม่มีที่ดินให้ทำกิน ลูกหลานเราจะอยู่ยังไง... ตอนนี้ต้องเลือกครอบครัวก่อน”
— แรงงานวัย 36 ปีจากจังหวัดโพธิสัตว์
“เมื่อวานแม่โทรมา ร้องไห้บอกให้กลับบ้าน เขากลัวถูกยึดที่ ไม่มีใครดูแล แม่อายุ 70 แล้ว เราจะทำยังไงได้…”
— แรงงานหญิงในตลาดโรงเกลือ
ผลกระทบเชิงเศรษฐกิจ: ไทยอาจสูญเสียแรงงานกว่า 50,000 คน
จากรายงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องระบุว่า หากกระแสการเดินทางกลับของแรงงานกัมพูชายังคงดำเนินต่อไป ไทยอาจสูญเสียแรงงานต่างด้าวอย่างน้อย 50,000-70,000 คน ในเวลาอันสั้น โดยเฉพาะแรงงานที่อยู่ใน ภาคการเกษตร ก่อสร้าง แปรรูปอาหาร และบริการ
การขาดแคลนแรงงานอาจส่งผลต่อราคาสินค้า การส่งออก และกำลังการผลิตในหลายจังหวัดที่พึ่งพาแรงงานต่างด้าวจำนวนมาก เช่น จันทบุรี สระแก้ว สมุทรสาคร และชลบุรี
มุมมองด้านสิทธิมนุษยชน: เสรีภาพในการเดินทางหรือการกดดันทางนโยบาย?
หลายองค์กรที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชนเริ่มออกมา ตั้งคำถามต่อมาตรการของรัฐบาลกัมพูชา ว่าการใช้วิธีข่มขู่แรงงานด้วยการยึดที่หรือกดดันทางครอบครัว เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพหรือไม่?
แม้รัฐบาลอาจมองว่านี่เป็นวิธีควบคุมแรงงานที่ผิดกฎหมายให้อยู่ภายในประเทศ แต่ก็นำมาซึ่งคำถามทางจริยธรรมและกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มประชาคมอาเซียนที่พยายามส่งเสริมเสรีภาพในการเคลื่อนย้ายแรงงาน
สรุป: วิกฤตแรงงานต่างด้าวที่ควรจับตามอง
เหตุการณ์แรงงานกัมพูชากว่า 30,000 คนแห่กลับประเทศในวันเดียว ถือเป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่า ระบบแรงงานในภูมิภาคกำลังเผชิญความเปราะบาง จากทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ
การจัดการของภาครัฐทั้งไทยและกัมพูชาจำเป็นต้องมีแผนรองรับอย่างจริงจัง ทั้งในด้านการบริหารชายแดน การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และการรักษาสิทธิของแรงงานตามกฎหมายระหว่างประเทศ
และที่สำคัญที่สุด คือการตั้งคำถามกับตัวเองในฐานะประเทศเจ้าบ้านว่า...
“เราจะดูแลแรงงานต่างด้าวอย่างไร…เมื่อเขาเป็นกลไกสำคัญของเศรษฐกิจไทย แต่กำลังถูกผลักออกด้วยแรงที่เขาควบคุมไม่ได้?”





