เด้งแรง! ฮุน เซน ขยับทีเดียว ไทยได้ทั้งกริพเพน-เรือดำน้ำ
กองทัพไทยเสริมกำลัง: โครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่ Gripen E/F และอนาคตของกองทัพไทยในยุคสมัยใหม่
เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา เวลา 12.50 น. ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติอนุมัติงบประมาณจำนวน 19,500 ล้านบาท ให้กับกองทัพอากาศไทย (RTAF) เพื่อดำเนินโครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่ โจมตีหลากบทบาทแบบ Saab JAS 39 Gripen E/F ในเฟสแรก จำนวน 4 ลำ ซึ่งการอนุมัติครั้งนี้ถือเป็นการเสริมความสามารถทางการทหารของกองทัพอากาศไทยในด้านการป้องกันประเทศให้มีความทันสมัยและมีศักยภาพเพิ่มขึ้นอย่างมาก
โครงการดังกล่าวได้รับการพิจารณาและอนุมัติโดยรัฐบาลในฐานะการเสริมกำลังให้กับกองทัพอากาศไทยให้มีศักยภาพที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นในยุคปัจจุบัน ซึ่งมุ่งมั่นที่จะรักษาความมั่นคงและอธิปไตยของชาติในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยการจัดหาเครื่องบินขับไล่ Gripen E/F นับเป็นการยกระดับความสามารถในการป้องกันประเทศให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ฟื้นฟูกองทัพไทยด้วยการเสริมเครื่องบินขับไล่ใหม่
การจัดหาเครื่องบินขับไล่ Saab JAS 39 Gripen E/F จำนวน 4 ลำในเฟสแรก ถือเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ของประเทศไทยในด้านการป้องกันประเทศ โดยเครื่องบินขับไล่ชนิดนี้ได้รับการยอมรับในระดับสากลในฐานะเครื่องบินที่มีประสิทธิภาพสูงในการโจมตีและป้องกันภัยทางอากาศ อีกทั้งยังมีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับสถานการณ์ด้านความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
การเพิ่มขีดความสามารถในการป้องกันประเทศด้วยเครื่องบินขับไล่ Gripen E/F ถือเป็นการตอบโจทย์ของการพัฒนาระบบการป้องกันที่มีประสิทธิภาพและทันสมัยในยุคใหม่ ในขณะที่ประเทศไทยยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายด้านความมั่นคงจากทั้งภายในและภายนอกประเทศ
เครื่องบิน Gripen E/F นั้นได้รับการออกแบบเพื่อรองรับการใช้งานที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันภัยทางอากาศ การโจมตีเป้าหมายพื้นดิน หรือการปฏิบัติการร่วมกับหน่วยทหารอื่น ๆ ทำให้กองทัพอากาศไทยสามารถใช้งานเครื่องบินขับไล่ชนิดนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพในหลายภารกิจ
คำวิพากษ์วิจารณ์จากผู้เชี่ยวชาญและความคิดเห็นจากประชาชน
นายนพนันท์ อรุณวงศ์ ณ อยุธยา นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านจีนศึกษา ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัวของเขา โดยระบุถึงการพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ของไทยในยุคนี้ โดยกล่าวว่า “เสียดาย Shopee ส่งของช้า กว่าจะได้รับของก็อีกหลายปี แต่ก็ดีกว่าไม่รู้ร้อนรู้หนาวไปเรื่อยๆ ขอบคุณฮุนเซ็นที่ทำให้นักการเมืองไทยและคนไทยทุกภาคส่วนเข้าใจความสำคัญของอาวุธยุทโธปกรณ์อย่างถ่องแท้”
คำพูดของเขาไม่เพียงแต่แสดงถึงการยอมรับในด้านการพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ของไทย แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงการตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการเสริมความสามารถทางการทหารในสถานการณ์ที่ยากลำบากจากทั้งปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ
นอกจากนี้ นายนพนันท์ยังได้พูดถึงการแก้ไขสัญญาเกี่ยวกับการจัดหาเรือดำน้ำ โดยการเปลี่ยนเครื่องยนต์จากเยอรมันเป็นเครื่องยนต์จีน เนื่องจากการที่เยอรมนีไม่ยอมขายเครื่องยนต์ให้กับไทย ซึ่งเขาได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “ไทยเป็นชาติที่ 2 ในเอเชียที่มีเรือดำน้ำ เรามีเรือดำน้ำก่อนจีนเสียอีก แต่หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อเรือดำน้ำทั้ง 4 ลำของเราถูกปลดระวาง เราก็ไม่เคยมีเรือดำน้ำอีกเลย”
การเปลี่ยนแปลงในด้านการจัดหาเครื่องยนต์สำหรับเรือดำน้ำครั้งนี้ถือเป็นการตอบสนองต่อความต้องการของกองทัพไทยในการพัฒนาเรือดำน้ำที่สามารถใช้งานได้ในระยะยาว โดยเครื่องยนต์จีนจะช่วยลดความเสี่ยงจากปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนและเทคโนโลยีจากเยอรมัน
กองทัพไทยในอนาคต: จากอันดับ 25 สู่ Top 20 ของโลก
นายนพนันท์ยังได้กล่าวถึงอนาคตของกองทัพไทย โดยชี้ให้เห็นว่าเมื่อประเทศไทยมีการเสริมกำลังด้วยเครื่องบิน Gripen ใหม่เรือดำน้ำที่ใช้งานได้จริง และเรือฟริเกตใหม่อีก 2 ลำ กองทัพไทยอาจจะสามารถขยับอันดับจากอันดับ 25 ของโลกขึ้นไปสู่ Top 20 ในอนาคต
การเสริมกำลังทางทหารด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพจะทำให้กองทัพไทยมีความสามารถในการรับมือกับความท้าทายจากภัยคุกคามต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคที่มีความตึงเครียดทางการเมืองและการทหารอยู่ตลอดเวลา
การเปรียบเทียบกับกองทัพเขมร
อีกหนึ่งประเด็นที่นายนพนันท์ได้กล่าวถึงคือการเปรียบเทียบระหว่างกองทัพไทยและกองทัพกัมพูชา โดยระบุว่า “ขณะที่กองทัพเขมรก็ยังคงอยู่ในอันดับ 90+ เหมือนเดิม” ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างในการพัฒนาและความพร้อมของกองทัพสองประเทศในภูมิภาค
แม้ว่ากองทัพกัมพูชาจะมีความพยายามในการเสริมความสามารถทางการทหาร แต่เมื่อเทียบกับกองทัพไทยที่มีการพัฒนามาต่อเนื่องและมีการลงทุนในอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยแล้ว กองทัพไทยยังคงมีความได้เปรียบในด้านเทคโนโลยีและการจัดการ
สรุป
โครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่ Gripen E/F และการพัฒนาเรือดำน้ำใหม่ของกองทัพไทยในครั้งนี้ ถือเป็นการเสริมศักยภาพในการป้องกันประเทศที่สำคัญ ซึ่งสะท้อนถึงการเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตในด้านความมั่นคงของชาติ
การตัดสินใจในครั้งนี้มีความสำคัญทั้งในด้านการเสริมกำลังของกองทัพไทยและการตระหนักถึงความสำคัญของอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยเพื่อรับมือกับภัยคุกคามในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การขยายศักยภาพของกองทัพไทยไปสู่ระดับ Top 20 ของโลกจะเป็นการส่งสัญญาณให้โลกเห็นถึงความพร้อมและความสามารถของประเทศไทยในด้านการป้องกันประเทศในยุคปัจจุบัน



