เกือบเอาชีวิตไม่รอด! หนุ่มเจอระเบิดแทนหน่อไม้ แกะดูระเบิดใส่ตัวเอง
สลดกลางหมู่บ้าน: ชายลพบุรีเจอ “ของเก่า” แต่กลายเป็นหัวระเบิด M79 – แกะขายไม่รู้ตัว เสียขาซ้าย-เพื่อนบ้านเจ็บสาหัส
“ไปหาหน่อไม้ กลับมาเจอของเก่า คิดว่าโชคดี กลับต้องเสียขาแทน...”
– เสียงสะท้อนจากญาติผู้บาดเจ็บหลังเหตุระเบิดกลางหมู่บ้านท่าศาลา จังหวัดลพบุรี
เมื่อเช้าวันที่ 3 สิงหาคม 2568 เหตุการณ์ระเบิดที่เกิดขึ้นภายในชุมชนในตำบลท่าศาลา อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี สร้างความตื่นตระหนกแก่ชาวบ้านและหน่วยงานความมั่นคงอย่างยิ่ง เมื่อนายวุฒิชัย ทาทอง ชาวบ้านอายุ 29 ปี ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการพยายามแกะหัวระเบิดชนิด M79 โดยไม่รู้ถึงอันตรายร้ายแรงที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน
เหตุการณ์ดังกล่าวไม่เพียงแต่สะท้อนถึงอันตรายของวัตถุระเบิดที่ยังคงตกค้างในชุมชน แต่ยังเป็นเครื่องเตือนใจว่า “ของเก่า” บางชิ้น ไม่ใช่สมบัติ หากแต่เป็นหายนะในคราบเศษเหล็ก
จุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรม: แค่หา “หน่อไม้” ที่กลายเป็นระเบิด
ช่วงเช้าของวันเกิดเหตุ นายวุฒิชัย ได้ออกไปตามหาหน่อไม้ในพื้นที่ชุมชนเชิงป่าใกล้บ้าน ก่อนจะกลับมาบอกกับญาติว่า “ไม่ได้หน่อไม้ แต่ได้ของเก่าแทน” – ซึ่งหมายถึงโลหะหรือวัสดุที่สามารถนำไปขายให้ร้านรับซื้อของเก่าได้
ผ่านไปเพียง 2 นาที ภายในบ้านหลังหนึ่ง หมู่ที่ 6 ตำบลท่าศาลา เสียงระเบิดก็ดังสนั่น ชาวบ้านต่างตกใจและวิ่งเข้ามาดู พบว่านายวุฒิชัยนอนจมกองเลือดอยู่ในสภาพขาซ้ายขาด ขาขวาร่องแร่ง มีแผลฉกรรจ์หลายจุด ร้องขอความช่วยเหลือด้วยความเจ็บปวด พร้อมกันนั้น นางน้อย สนธิพงษ์ อายุ 55 ปี เพื่อนบ้านที่อยู่ในระยะใกล้ ก็โดนสะเก็ดระเบิดที่ขาได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน
การตรวจสอบในที่เกิดเหตุ: หัวระเบิด M79 และอีกหลายลูกยังไม่ระเบิด
พ.ต.ท.จีระวัฒน์ พูตาเพิด สารวัตร (สอบสวน) สภ.เมืองลพบุรี ได้รับแจ้งเหตุในช่วงเช้าและนำกำลังเข้าตรวจสอบพื้นที่ พร้อมทั้งประสานหน่วยกู้ภัยและ ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด (EOD) เข้าเก็บกู้วัตถุอันตราย
ที่เกิดเหตุพบว่า วัตถุระเบิดที่นายวุฒิชัยนำมาแกะคือ หัวระเบิดขนาด 40 มม. หรือที่รู้จักกันในชื่อ M79 ซึ่งเป็นกระสุนยิงจากเครื่องยิงระเบิดมือแบบพกพาในทางทหาร และยังพบว่าในบริเวณใกล้เคียงมีระเบิดประเภทเดียวกัน อีกหลายลูกวางอยู่ ห่างจากร่างผู้บาดเจ็บเพียงไม่กี่เมตร
การเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บทำได้อย่างยากลำบาก เพราะเจ้าหน้าที่กู้ภัยต้องเข้าไปด้วยความระมัดระวังสูงสุด เนื่องจากอาจเกิดการระเบิดซ้ำได้ทุกเมื่อ
หลังการช่วยเหลือ เจ้าหน้าที่ได้ปิดกั้นพื้นที่ พร้อมจัดการเก็บกู้วัตถุระเบิดที่ยังไม่ระเบิดทั้งหมดออกไปเพื่อทำลายอย่างปลอดภัย
เหตุการณ์ที่ไม่น่าเกิดขึ้น: เมื่อ “ความไม่รู้” นำไปสู่โศกนาฏกรรม
จากการสอบสวน นายธนารักษ์ ทาทอง อายุ 36 ปี ซึ่งเป็นญาติของนายวุฒิชัย ผู้บาดเจ็บ ให้การว่า นายวุฒิชัยมักจะเดินหา “ของเก่า” เพื่อเก็บไปขายแลกเงิน และไม่ได้มีเจตนาร้ายหรือพฤติกรรมผิดกฎหมายใดๆ แต่กลับไม่รู้ว่า “ของเก่าที่เก็บมา” ครั้งนี้ไม่ใช่เศษเหล็กธรรมดา
“เขาไปหาหน่อไม้ ไม่ได้หน่อไม้ ก็เลยได้ของเก่ากลับมา คิดว่าโชคดี... กลับต้องกลายเป็นแบบนี้” – คำให้การของญาติที่เต็มไปด้วยความสะเทือนใจ
กรณีเช่นนี้สะท้อนให้เห็นถึง ความเปราะบางทางความรู้ของประชาชนทั่วไปต่อวัตถุอันตรายที่ตกค้างจากอดีต ซึ่งอาจมาจากการฝึกซ้อมทางทหารในอดีต การลักลอบค้าอาวุธ หรือเหตุอื่นที่ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ
ความเสี่ยงจากระเบิดตกค้าง: ปัญหาเรื้อรังที่ยังไร้ระบบจัดการ
กรณีนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีประชาชนเจอวัตถุระเบิดในพื้นที่ชุมชนแล้วเกิดเหตุร้ายแรง จากสถิติของ ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (TMAC) พบว่า ประเทศไทยยังมีวัตถุระเบิดตกค้างในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะจังหวัดชายแดนและพื้นที่ที่เคยเป็นเขตซ้อมรบ
แม้ว่าประเทศไทยจะลงนามในอนุสัญญาออตตาวา ว่าด้วยการกำจัดทุ่นระเบิด แต่ในทางปฏิบัติ การค้นหาและทำลายยังเป็นไปอย่างล่าช้า โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ไม่ได้ถูกขึ้นทะเบียนเป็น "เขตอันตราย"
สถานการณ์ในลพบุรี
จังหวัดลพบุรีเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีค่ายทหารขนาดใหญ่ เช่น ค่ายสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และเป็นพื้นที่ฝึกซ้อมของหน่วยต่างๆ มาอย่างยาวนาน การที่ระเบิดหลุดออกมาอยู่ในครอบครองของประชาชนจึงเป็น คำถามสำคัญต่อความปลอดภัยของอาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหาร
ประเด็นทางสังคม: ความยากจนผลักให้คนเสี่ยงอันตราย
เหตุการณ์นี้ยังเผยให้เห็นถึงความจริงทางเศรษฐกิจระดับครัวเรือนในชนบท ว่าการเก็บของเก่าขายกลายเป็นหนึ่งในอาชีพที่คนจำนวนมากต้องพึ่งพา โดยเฉพาะในยุคที่ค่าครองชีพสูงขึ้นแต่รายได้ไม่เพียงพอ
เศษเหล็กจากอาวุธ เช่น หัวกระสุน ปลอกกระสุน และชิ้นส่วนเครื่องจักรทหาร มีราคาสูงกว่าของเก่าทั่วไปหลายเท่า ทำให้บางคน “เสี่ยง” ที่จะเก็บของต้องสงสัยมาขายโดยไม่รู้ว่ากำลังนำความตายมาสู่ตัวเอง
ความจำเป็นในการ “ให้ความรู้ – ลงพื้นที่ – คัดกรอง”
เหตุการณ์นี้คือสัญญาณเตือนว่ารัฐควรดำเนินมาตรการในเชิงรุก ไม่ใช่รอเหตุร้ายเกิดขึ้นก่อนถึงจะเคลื่อนไหว
ข้อเสนอเชิงนโยบาย:
1. สำรวจและประเมินพื้นที่เสี่ยง โดยเฉพาะในจังหวัดที่เคยเป็นพื้นที่ฝึกซ้อมทางทหารหรือมีหน่วยงานยุทโธปกรณ์ประจำ
2. จัดเวิร์กช็อปให้ความรู้ชาวบ้าน ในเรื่องการแยกแยะวัตถุระเบิด, วิธีแจ้งเตือน และแนวปฏิบัติเมื่อพบวัตถุต้องสงสัย
3. สนับสนุนอาชีพทางเลือกแทนการเก็บของเก่า โดยเฉพาะในชุมชนที่มีผู้ประกอบอาชีพประเภทนี้จำนวนมาก
4. จัดตั้งสายด่วนแจ้งวัตถุต้องสงสัย 24 ชั่วโมง เพื่อให้ประชาชนสามารถขอคำปรึกษาและแจ้งเหตุกับเจ้าหน้าที่อย่างปลอดภัย
สรุป: เรื่องเศร้าของชายคนหนึ่ง อาจกลายเป็นบทเรียนสำคัญของทั้งประเทศ
ชีวิตของนายวุฒิชัยเปลี่ยนไปตลอดกาลจากวินาทีนั้น ขาซ้ายที่ขาดไปไม่อาจฟื้นคืนได้ นางน้อย เพื่อนบ้านวัย 55 ปี ก็ต้องเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ครอบครัวทั้งสองตกอยู่ในภาวะเครียดและต้องรับมือกับค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่
แต่หากเหตุการณ์นี้สามารถ ผลักดันให้สังคมเกิดการเรียนรู้ สร้างระบบเตือนภัย และยกระดับมาตรการความปลอดภัยของสาธารณชน – บางที โศกนาฏกรรมของเขาอาจจะไม่สูญเปล่า
หากพบวัตถุต้องสงสัยในพื้นที่ของคุณ ห้ามเคลื่อนย้ายเองเด็ดขาด ให้โทรแจ้งหน่วยงานใกล้เคียง หรือสายด่วน 191 / หน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิดในพื้นที่





















