ข่าวปลอม ข่าวจริง
ความจริงบนโลกโซเชียล ข่าวปลอมและข่าวจริงที่บิดเบือน
ทุกวันนี้ เราปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นยุคที่เราสามารถเสพข่าวผ่านหน้าจอได้เพียงไม่กี่นาที บนหน้าจอเราจะพบข้อมูลมากมาย ทั้งข่าวเศร้า ตลก หรือเรื่องที่ทำให้เราประหลาดใจ แต่เคยถามตัวเองบ้างไหมว่า สิ่งที่เราอ่านอยู่นั้น คือความจริง หรือ ภาพลวงตาที่ถูกจัดวางขึ้นมา เพียงเพราะเรียกยอดไลค์หรือเข้าชม และ ที่สำคัญทุกคนสามารถเป็นผู้ส่งสารได้เพียงปลายนิ้วคลิก ข้อมูลนั้นก็ถูกส่งต่อออกไปไกลกว่าที่เราคิด เพราะความรวดเร็วเป็นตัวการที่ทำให้ความจริงของข่าวสารถูกตัดทอนหรือบิดเบือนออกไป กลายเป็นเราเสพข่าวปลอม จนไม่รู้ว่า ข่าวไหนจริง ข่าวไหนเท็จ
ในช่วงตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ปะทะกันตรงแนวชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชา มีข่าวปลอมที่ถูกนำเสนอ ปรากฎบนโลกโซเชียลอยู่ค่อนข้างมาก เช่น เพจหนึ่ง ได้โพสต์ข้อความอ้างว่า มีทหารไทยเสียชีวิตเกือบ 140 นาย ใกล้เขาพระวิหาร เมื่อตรวจสอบแล้ว กลับกลายเป็นภาพจริงจากเหตุการณ์ส่งศพทหารกัมพูชา 12 นาย ที่เสียชีวิตในพื้นที่ภูมะเขือ และ ถูกส่งให้กัมพูชา เพื่อประกอบพิธีทางศาสนา หรือ มีข่าวว่า ทหารกัมพูชาเข้ายึดพื้นที่ทั้งหมด ซึ่งไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
ซึ่งข่าวปลอมที่ถูกนำมาเผยแพร่ ล้วนแล้วแต่ไม่มีหลักฐานภาพหรือแหล่งข่าวยืนยัน จุดประสงค์คือ ต้องการสร้างภาพว่าฝ่ายหนึ่งกำลังถูกพ่ายแพ้และกระตุ้นอารมณ์ ให้เกิดความเกลียดชัง สำหรับเรา ซึ่งเป็นผู้บริโภคข่าวสาร ควรจะเลือกอ่านและแชร์ข่าวจากแหล่งที่เชื่อถือได้ มนุษย์เรามักเชื่อข้อมูลที่ตรงกับความคิด และ ความรู้สึกที่มีอยู่แล้ว ถ้าไม่ไว้ใจรัฐบาล ก็อาจจะเชื่อข่าวที่โจมตีรัฐบาล ข่าวปลอมมักจะใช้คำพูดแรงๆ เช่น แพ้ยับ สูญเสียหนัก ก็จะทำให้เรารู้สึกโกรธ จึงอยากแชร์เพื่อระบาย หรือ เกิดความกลัว เราอยากจะเตือนคนอื่น ข่าวปลอมทำงานได้เพราะมันเดินทางเร็วกว่าเหตุผล เพราะฉะนั้น หากเจอข้อมูลแรงๆ ก็อย่าแชร์ทันที ควรจะหาข่าวจากหลายแหล่งมาเปรียบเทียบ
หลายครั้งข่าวปลอมมักใช้ภาพเก่า หรือ ภาพจากเหตุการณ์อื่นมาตัดต่อ ซึ่งเป็นหนึ่งในเทคนิคที่ใช้กันบ่อยที่สุด เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ เพราะภาพเป็นสิ่งที่สร้างความน่าเชื่อถือในทันที แม้ผู้ชมจะไม่ได้อ่านรายละเอียดทั้งหมด ประกอบกับภาพไม่เคยโกหก แต่คนสามารถสร้างภาพขึ้นมาเพื่อหลอกเราได้ เพราะสมัยนี้มีเครื่องมือตัดต่อภาพได้มากมาย
การรู้เท่าทันข่าวปลอมจึงไม่ใช่เป็นหน้าที่ของหน่วยงานรัฐหรือสื่อมวลชนเท่านั้น แต่เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของผู้เสพข่าวทุกคน ก่อนจะกดแชร์หรือส่งต่อ ลองหยุดถามตัวเองสักครู่ว่า นี่คือความจริง หรือเพียงความเชื่อที่ใครบางคนอยากให้เราคิดว่าเป็นจริง?
















