จับโป๊ะสายลับเขมร! ตำรวจเผยอาชีพจริง “สิบโท” กลายเป็นแค่ฉากบังหน้า?
เปิดปม "นายเดิม เดือน" ชาวกัมพูชากลางดราม่าสายลับ ท้ายที่สุดแค่หลงใหลเครื่องแบบทหาร?
ประเด็นร้อนบนชายแดนไทย-กัมพูชา กับคดีที่ชวนให้สงสัยและตีความผิดพลาด
ช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2568 สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาเกิดความตึงเครียดเล็กน้อย หลังจากมีรายงานข่าวว่า เจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินจังหวัดจันทบุรี (ฉก.นย.จันทบุรี) ได้ควบคุมตัวชายชาวกัมพูชาอายุ 53 ปีรายหนึ่ง ชื่อ "นายเดิม เดือน" หรือ "MR. OEUN KHOEM" เนื่องจากมีพฤติกรรมต้องสงสัยว่าอาจเป็น "สายลับ" ของกัมพูชา แฝงตัวเข้ามาในพื้นที่เพื่อปฏิบัติภารกิจด้านการข่าว
โดยข่าวในช่วงแรกได้รับความสนใจจากทั้งสื่อไทยและสังคมออนไลน์อย่างกว้างขวาง เนื่องจากมีข้อมูลเบื้องต้นระบุว่า ผู้ต้องสงสัยรายนี้มีเครื่องแบบทหารกัมพูชาอยู่ในครอบครอง มีการโพสต์ภาพและข้อความที่สื่อถึงความเคลื่อนไหวทางทหารผ่านโซเชียลมีเดีย รวมถึงยังอ้างตัวว่าเป็นนายทหารข่าวกรองในกองทัพกัมพูชาอีกด้วย
การจับกุมและพฤติการณ์ที่ทำให้ตกเป็นเป้าสงสัย
เหตุการณ์เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 เวลาประมาณ 19.00 น. เจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินจังหวัดจันทบุรี ได้ทำการควบคุมตัวชายชาวกัมพูชา คือ นายเดิม เดือน (MR. OEUN KHOEM) หลังจากมีเบาะแสว่าอาจเป็นสายลับจากประเทศเพื่อนบ้านที่เข้ามาปฏิบัติการข่าวกรองในพื้นที่ประเทศไทย
โดยเขาถูกตรวจสอบเอกสารหนังสือเดินทาง (พาสปอร์ต) และอุปกรณ์สื่อสารต่างๆ ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าเดินทางเข้ามาในประเทศไทยแบบถูกต้องตามกฎหมาย ด้วยวีซ่าประเภท NON-LA ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 2568 และมีระยะเวลาพำนักจนถึงวันที่ 11 มีนาคม 2570 รวมถึงมีถิ่นพำนักอย่างชัดเจนที่บ้านเลขที่ 301/1 หมู่ 1 ตำบลหับไทร อำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เพิ่มความน่าสงสัยคือการที่เจ้าหน้าที่พบชุดเครื่องแบบทหารกัมพูชาอยู่ในรถกระบะมาสด้าทะเบียน กล 2141 จันทบุรี รวมถึงในบ้านพักของเขา โดยในรถยังมีหลักฐานเกี่ยวกับกิจกรรมทางโซเชียลมีเดียที่ดูจะมีนัยยะสำคัญ เช่น ข้อความ “THAILAND ATTACKS FIRST CAMBODIA DEFENDS” พร้อมภาพถ่ายที่เกี่ยวข้องกับกองทัพ ซึ่งยิ่งทำให้สถานการณ์ดูคล้ายกับการแทรกซึมเพื่อปฏิบัติภารกิจลับทางทหาร
คำรับสารภาพที่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสังคม
หลังจากนั้นไม่นาน รายงานข่าวระบุว่า นายเดิม เดือน ได้ให้การสารภาพว่าเป็นนายทหารข่าวกรองของกองทัพกัมพูชา มียศ "ร้อยโท" พร้อมหมายเลขประจำตัว 157625 โดยยอมรับว่าเข้ามาในประเทศไทยเพื่อสอดแนมความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย และส่งข้อมูลกลับไปยังต้นสังกัดในกัมพูชา
ข้อมูลดังกล่าวยิ่งตอกย้ำกระแสวิพากษ์วิจารณ์บนโลกออนไลน์ รวมถึงนำไปสู่ความเคลื่อนไหวของฝ่ายความมั่นคงที่เพิ่มมาตรการเฝ้าระวังบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะในเขตอำเภอโป่งน้ำร้อนและพื้นที่ใกล้เคียง
พลิกคดี! ตำรวจสอบสวนพบข้อเท็จจริงต่างไปจากที่คาด
ทว่าเรื่องราวกลับพลิกผัน เมื่อทางกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 และสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างละเอียด และพบว่า ข้อมูลที่ได้รับในเบื้องต้นอาจเป็นการเข้าใจผิด
โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรจังหวัดจันทบุรี และกองกำกับการสืบสวนฯ ได้สืบสวนร่วมกับตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และฝ่ายข่าวกรองอย่างใกล้ชิด ซึ่งผลการสอบสวนอย่างเป็นทางการกลับพบว่า นายเดิม เดือน มิได้เป็นทหาร หรือสายลับตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด
นายเดิม เดือน ให้ข้อมูลว่า อาศัยอยู่ในประเทศไทยมานานกว่า 20 ปี โดยประกอบอาชีพรับจ้างทำสวนผลไม้ในพื้นที่อำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี มีภรรยาและบุตรสัญชาติกัมพูชา และสามารถพูดฟังภาษาไทยได้อย่างคล่องแคล่ว
จากการตรวจค้นบ้านพัก พบว่าเครื่องแบบทหารและเครื่องหมายยศร้อยโทที่มีอยู่ในครอบครองนั้น มาจากการสั่งซื้อผ่านร้านค้าออนไลน์ในกัมพูชา โดยอาศัยเฟซบุ๊กชื่อ "Khan Sopheach" ในการสั่งซื้อ โดยสั่งซื้อครั้งสุดท้ายตั้งแต่ปี 2558 ซึ่งเป็นระยะเวลาหลายปีมาแล้ว
เขายังยืนยันว่า ตนมีความชื่นชอบในเครื่องแบบของทหารกัมพูชาเป็นการส่วนตัว และเคยมีความใฝ่ฝันอยากเป็นทหาร แต่เนื่องจากไม่มีโอกาสเรียนหนังสือจึงไม่สามารถสมัครเข้าเป็นทหารได้ ความหลงใหลนี้เองที่เป็นเหตุให้เขาสะสมชุดทหารไว้หลายชุดและชอบถ่ายรูปโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย
ผลตรวจสอบมือถือและพฤติกรรมบนโลกออนไลน์
ด้านการตรวจสอบโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เจ้าหน้าที่ให้ความสำคัญ พบว่ามีการถ่ายภาพตนเองในชุดเครื่องแบบทหารกัมพูชาหลายภาพ และมีการโพสต์เกี่ยวกับสถานการณ์ข่าวสารในประเทศ แต่ไม่ได้พบหลักฐานใด ๆ ที่บ่งชี้ว่า เขาได้ส่งข้อมูลพิกัดสถานที่สำคัญ หรือข้อมูลเชิงยุทธศาสตร์ให้กับบุคคลภายนอก หรือหน่วยงานด้านความมั่นคงของกัมพูชา
ซึ่งสรุปได้ว่า ข้อมูลบนมือถือไม่ได้มีเนื้อหาที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศแต่อย่างใด
บทเรียนสำคัญ: เมื่อการตีความผิดพลาดอาจนำไปสู่ความเข้าใจคลาดเคลื่อน
คดีของ “นายเดิม เดือน” กลายเป็นกรณีศึกษาอีกหนึ่งตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่า ความตึงเครียดในพื้นที่ชายแดน และความหวาดระแวงในด้านความมั่นคง อาจทำให้เกิดการตีความพฤติกรรมของประชาชนธรรมดาอย่างผิดพลาด โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่สถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศยังอยู่ในภาวะเปราะบาง
แม้ว่าการระมัดระวังในเรื่องความมั่นคงจะเป็นสิ่งจำเป็น แต่การกลั่นกรองข้อมูล การสืบสวนอย่างรอบคอบ และการให้ความสำคัญกับหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ก็เป็นหัวใจสำคัญ เพื่อไม่ให้เกิดการกล่าวหาโดยไม่มีมูลความจริง จนอาจกระทบต่อชื่อเสียงและสิทธิมนุษยชนของผู้บริสุทธิ์
บทสรุป: จากสายลับในข่าวลือ สู่ชายธรรมดาผู้รักเครื่องแบบ
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ ชี้ให้เห็นว่า "MR. OEUN KHOEM" หรือ "นายเดิม เดือน" ไม่ใช่สายลับ ไม่ใช่นายทหาร และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับภารกิจทางทหารใดๆ ของประเทศกัมพูชา หากแต่เป็นชายชาวกัมพูชาธรรมดาคนหนึ่ง ที่มีความหลงใหลในเครื่องแบบทหาร และมีความฝันที่ไม่อาจเป็นจริงได้ จึงแสดงออกผ่านการสะสมเครื่องแบบและการถ่ายภาพเท่านั้น
ในท้ายที่สุด เจ้าหน้าที่ได้มีการปล่อยตัวเขาไปโดยไม่มีการดำเนินคดี และมีการแถลงข่าวอย่างชัดเจนจากตำรวจภูธรจังหวัดจันทบุรีเพื่อคลายข้อสงสัยของสังคม
















