กองทัพไทยฟาดกลับ! โฆษกกลาโหมเขมรโกหกรายวัน ข่าวลวงเต็มโลง
กองทัพไทยโต้กลับกัมพูชาอย่างหนัก ปมกล่าวหาใช้ “อาวุธเคมี” ถล่มชายแดน ชี้เป็น “ข้อมูลปลอม” หวังบิดเบือนความจริง
เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาทวีความตึงเครียดมากขึ้น หลังจากที่ พลโทหญิง มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ออกแถลงการณ์กล่าวหากองทัพไทยว่าใช้อาวุธเคมีในการโจมตีหลายพื้นที่ชายแดนฝั่งกัมพูชา เป็นเหตุให้ประชาชนกว่า 134,707 คน จากกว่า 40,000 ครอบครัวใน 4 จังหวัดต้องอพยพออกจากพื้นที่ กลายเป็นผู้ลี้ภัย และส่งผลให้โรงเรียนในแนวชายแดนต้องปิดการเรียนการสอนมากถึง 600 แห่ง
ข้อกล่าวหาดังกล่าวไม่เพียงแต่สร้างความตกตะลึงให้กับประชาชนสองประเทศเท่านั้น แต่ยังส่งแรงสั่นสะเทือนไปยังเวทีระหว่างประเทศและสื่อมวลชนทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งกำลังจับตาความขัดแย้งที่กำลังปะทุขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โฆษกกองทัพไทยโต้กลับอย่างเด็ดขาด
พลตรี วิทัย ลายถมยา โฆษกกองทัพไทย ได้ออกมาแถลงข่าวโต้กลับทันที โดยปฏิเสธอย่างหนักแน่นต่อข้อกล่าวหาดังกล่าว พร้อมยืนยันว่า “ประเทศไทยไม่เคยใช้อาวุธเคมี และไม่มีนโยบายในการพัฒนา ผลิต หรือครอบครองอาวุธเคมีใดๆ ทั้งสิ้น” อีกทั้งยังระบุว่า ประเทศไทยให้ความสำคัญกับพันธกรณีระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้อาวุธเคมี หรือ Chemical Weapons Convention (CWC) ซึ่งไทยเป็นภาคีอย่างเป็นทางการ และปฏิบัติตามหลักมนุษยธรรมสากลมาโดยตลอด
พลตรีวิทัยยังชี้ว่า ข้อกล่าวหาของฝ่ายกัมพูชาเป็น “การบิดเบือนข้อเท็จจริงอย่างร้ายแรง” และเป็นการนำ “ข้อมูลข่าวสารปลอม (Disinformation)” มาใช้ในเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตนเองต่อสายตาประชาคมโลก ซึ่งถือเป็นพฤติกรรมที่ไม่เพียงแต่ขาดความรับผิดชอบเท่านั้น แต่ยังอาจเข้าข่ายการ ยั่วยุให้เกิดความเกลียดชังและขัดแย้งในระดับภูมิภาค อีกด้วย
อาวุธเคมี: ข้อกล่าวหาที่ไร้มูลความจริง
การกล่าวหาใช้อาวุธเคมีในปฏิบัติการทางทหารถือเป็นเรื่องร้ายแรง เนื่องจากอาวุธเคมีถูกจัดอยู่ในกลุ่มอาวุธที่มีผลกระทบต่อมนุษย์ในวงกว้าง ทั้งในแง่กายภาพและจิตใจ อีกทั้งยังละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม โฆษกกองทัพไทยยืนยันว่า ประเทศไทยไม่มีการใช้อาวุธชนิดนี้ในทุกกรณี และไม่มีความจำเป็นต้องใช้วิธีการที่โหดร้ายดังกล่าวในการป้องกันประเทศ
“เราปฏิบัติการภายใต้หลักมนุษยธรรมและความปลอดภัยของพลเรือนเป็นหลัก ไม่เคยกระทำการใดๆ ที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือกฎหมายระหว่างประเทศ” พลตรีวิทัยกล่าว
ไทยเรียกร้องให้โลกตระหนักถึง “Disinformation” จากกัมพูชา
กองทัพไทยยังกล่าวหาว่า ฝ่ายกัมพูชาพยายามใช้การกล่าวหาด้วยข้อมูลเท็จเป็นเครื่องมือทางยุทธศาสตร์ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาภายในประเทศและสร้างความชอบธรรมต่อสังคมโลก โดยไทยมองว่าการใช้ Disinformation ในลักษณะนี้ ถือเป็นพฤติกรรมที่ อันตรายต่อสันติภาพในภูมิภาค และเรียกร้องให้ประชาคมโลกช่วยกัน ประณามการกระทำเช่นนี้อย่างชัดเจน
“เราจะไม่ยอมให้เสียงของความเท็จมากลบเสียงของความจริง” พลตรีวิทัยกล่าว พร้อมระบุว่า ฝ่ายไทยจะเดินหน้าชี้แจงต่อประชาคมระหว่างประเทศในทุกเวที เพื่อให้เห็นถึงพฤติกรรมที่อาจเข้าข่าย “อาชญากรรมสงคราม (War Crime)” ของผู้นำกัมพูชา
ความตึงเครียดชายแดนและบริบทความขัดแย้ง
ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเฉพาะในปีนี้ แต่มีประวัติศาสตร์ความตึงเครียดเรื้อรังมายาวนาน โดยเฉพาะปัญหาเรื่องพื้นที่ชายแดน การตีความแนวเขตดินแดน และการเข้าถึงทรัพยากรในพื้นที่ทับซ้อน ซึ่งเป็นต้นตอที่มักจะถูกจุดชนวนให้เกิดการกระทบกระทั่งทางการทหาร
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทั้งสองประเทศพยายามดำเนินความร่วมมือทางทหารและความมั่นคงร่วมกัน ผ่านกลไกการประชุมระดับทวิภาคี เช่น คณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) และกลไกความร่วมมือด้านความมั่นคงอาเซียน แต่ดูเหมือนว่าท่าทีล่าสุดของกัมพูชาจะสะท้อนถึงความล้มเหลวในการควบคุมกระบวนการเจรจาสันติภาพ และเปิดทางให้ฝ่ายทหารมีบทบาทมากยิ่งขึ้น
การตอบโต้ของฝ่ายไทย: ปกป้องอธิปไตยและพลเรือน
ฝ่ายไทยยังยืนยันว่าการดำเนินการทุกอย่างในพื้นที่ชายแดนนั้น เป็นไปตามหลักสากลและกฎหมายระหว่างประเทศโดยเคร่งครัด โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อป้องกันภัยคุกคามต่ออธิปไตยและความปลอดภัยของพลเรือนชาวไทย
“ประเทศไทยไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องดำเนินการตอบโต้ในลักษณะจำเป็น เพื่อยับยั้งการยั่วยุและการใช้กำลังจากฝ่ายกัมพูชา ซึ่งเป็นผู้เปิดฉากก่อน” โฆษกกองทัพไทยกล่าวอย่างหนักแน่น
บทสรุป: ความจริงต้องชนะคำโกหก
กรณีข้อกล่าวหาใช้อาวุธเคมีของกัมพูชา นับเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการนำ “ข้อมูลปลอม” มาใช้ในเชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งไทยเห็นว่าเป็นสิ่งที่ต้องไม่ปล่อยให้กลายเป็นบรรทัดฐานในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
การตอบโต้ของกองทัพไทยในครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงการป้องกันตนเองทางทหารเท่านั้น แต่ยังเป็นการ ยืนหยัดเพื่อความจริง และปกป้องภาพลักษณ์ของประเทศในสายตาประชาคมโลก
ประเทศไทยเรียกร้องให้ทุกประเทศร่วมกันตระหนักและยืนหยัดต่อพฤติกรรมที่บิดเบือนความจริง ซึ่งอาจเป็นภัยคุกคามต่อความสงบสุขและเสถียรภาพในภูมิภาค และย้ำชัดว่า “ความจริงต้องไม่ถูกบดบังด้วยคำโกหกของผู้ที่แสวงหาประโยชน์ทางการเมืองและอำนาจ”



















