แพ้ไทยจนต้องพึ่งไสยศาสตร์? หมอผีเขมรจัดพิธีใส่แม่ทัพภาค 2!
หมอผีเขมรประกอบพิธีแทงรูป "แม่ทัพภาคที่ 2" จุดชนวนดราม่าข้ามพรมแดน: ความเชื่อพื้นถิ่นหรือสงครามจิตวิทยา?
วันที่ 29 กรกฎาคม 2568 กลายเป็นอีกหนึ่งวันที่สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เดือดพล่านไม่ใช่แค่ในเชิงยุทธศาสตร์ทหาร แต่ยังขยายสู่สงครามความเชื่อและความรู้สึกของประชาชน หลังมีการเผยแพร่คลิปวิดีโอที่สร้างความตกตะลึงไปทั่วสื่อสังคมออนไลน์ ภาพในคลิปแสดงให้เห็นกลุ่ม "หมอผีเขมร" กำลังประกอบพิธีกรรมที่มีเป้าหมายตรงไปยัง พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ของไทย
การกระทำดังกล่าวไม่เพียงเป็นประเด็นถกเถียงเรื่องวัฒนธรรมพื้นถิ่นหรือความเชื่อไสยศาสตร์เท่านั้น แต่ยังถูกมองว่าอาจเข้าข่าย “สงครามจิตวิทยา” (Psychological Warfare) ที่ใช้ความเชื่อเป็นเครื่องมือกระตุ้นความเกลียดชัง และปลุกเร้าอารมณ์ของมวลชนท่ามกลางสถานการณ์ขัดแย้งในภูมิภาค
บทความนี้จะพาไปไล่เรียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น วิเคราะห์มิติทางสังคม วัฒนธรรม การทหาร และผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ
คลิปพิธีกรรมเขมร: หมอผี "รุมแทง" รูปแม่ทัพภาคที่ 2
ต้นเหตุของดราม่าทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อมีการเผยแพร่คลิปวิดีโอยาวประมาณ 6 นาที ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียของชาวกัมพูชา และต่อมาก็ถูกแชร์อย่างรวดเร็วในหมู่ชาวไทย โดยในคลิปเผยให้เห็นพิธีกรรมที่จัดขึ้นในพื้นที่หนึ่งซึ่งเชื่อว่าอยู่ไม่ไกลจากชายแดนไทย
ลำดับเหตุการณ์ในคลิปพิธีกรรม:
1. ภาพของ พลโท บุญสิน พาดกลาง ถูกพิมพ์ขนาดใหญ่ ติดตั้งอยู่บริเวณกลางลานพิธี
2. บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงดนตรีพื้นถิ่นแบบร่ายรำ สร้างความขลังและลึกลับ
3. ชายชุดขาว ซึ่งเชื่อว่าเป็น "หมอผีหนุ่ม" ถืออาวุธคล้ายตรีศูล (สามง่าม) เดินวนเข้าหารูปภาพ จากนั้นร่ายรำแล้ว “แทง” ไปยังภาพ
4. กลุ่มหมอผีคนอื่น ๆ ทั้งในชุดขาว ชุดดำ และ หมอผีผู้ใหญ่ในชุดแดง เข้าร่วมด้วย โดยมีคนหนึ่งใช้ “จักร” แบบโบราณ ฟาดฟันไปที่ภาพซ้ำ ๆ
5. ปิดท้ายพิธีด้วยการ จุดไฟเผารูปภาพแม่ทัพภาคที่ 2 ท่ามกลางเสียงโห่ร้องและเสียงดนตรี
สะเทือนใจชาวไทย: เมื่อความเชื่อถูกใช้เพื่อโจมตีเชิงสัญลักษณ์
เมื่อคลิปดังกล่าวถูกเผยแพร่ในประเทศไทย กระแสสังคมออนไลน์ระเบิดทันที โดยเฉพาะในกลุ่มประชาชนภาคอีสานที่ผูกพันกับกองทัพภาคที่ 2 ซึ่งมีบทบาทอย่างสูงในการปกป้องชายแดนฝั่งตะวันออกของประเทศ
ชาวไทยจำนวนมากรู้สึกว่า การกระทำของกลุ่มหมอผีนี้เป็น การดูหมิ่นและคุกคาม เจ้าหน้าที่ทหารผู้มีหน้าที่ปกป้องแผ่นดิน จึงเกิดแฮชแท็กในโลกออนไลน์ เช่น
#หยามศักดิ์ศรีทหารไทย
#หยุดหมอผีเขมร
#กองทัพภาคที่2ต้องไม่เงียบ
นอกจากการแสดงความไม่พอใจแล้ว หลายคนยังเรียกร้องให้รัฐบาลไทยและกระทรวงการต่างประเทศออกแถลงการณ์ประท้วงอย่างเป็นทางการต่อรัฐบาลกัมพูชา แม้พิธีจะไม่ได้จัดขึ้นโดยกลไกรัฐ แต่ก็ถูกมองว่าเป็น “การปลุกระดมมวลชน” โดยอาศัยความเชื่อพื้นถิ่นที่ล้ำเส้นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
วัฒนธรรมไสยศาสตร์ในกัมพูชา: หมอผีกับบทบาทในสังคม
ก่อนจะด่วนตัดสินว่าการกระทำดังกล่าวเป็นเพียงการยั่วยุหรือไร้สาระ จำเป็นต้องเข้าใจบริบทวัฒนธรรมของประเทศกัมพูชาเสียก่อน
ในกัมพูชา “หมอผี” หรือ “อาจารย์ไสยศาสตร์” ยังมีบทบาทสูงในชุมชนชนบทและแม้กระทั่งในเมือง โดยถูกเรียกว่า "อาจารย์สัจจะ" หรือ “คนทรง” ซึ่งมักถูกเชิญเข้ามาทำพิธีเสริมดวง แก้เคราะห์ หรือขอชัยชนะในเวลาสำคัญ โดยเฉพาะในช่วงเลือกตั้ง การแข่งกีฬา หรือกระทั่งสถานการณ์สงคราม
ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา มีรายงานว่ากองทัพของกัมพูชาเองก็เคยใช้พิธีกรรมบางอย่างในการ “ปลุกขวัญกำลังใจ” ให้กับทหารก่อนออกศึก แม้จะไม่ได้เป็นพิธีทางการที่รัฐรับรอง แต่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของ “ความเชื่อในสนามรบ”
พิธีกรรมนี้คือ "สงครามจิตวิทยา"?
ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงวิเคราะห์ว่า พิธีกรรมที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ แม้ไม่ได้มาจากรัฐโดยตรง แต่ก็อาจถือได้ว่าเป็นการส่งสารทางอ้อมไปยังประเทศไทยและกองทัพภาคที่ 2 อย่างชัดเจน
การเลือก "แม่ทัพภาคที่ 2" มาเป็นเป้าหมายในพิธี ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะแม่ทัพภาคที่ 2 คือผู้บัญชาการหลักที่มีหน้าที่รับผิดชอบด้านความมั่นคงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา การเจาะจงโจมตีภาพของบุคคลนี้จึงมีน้ำหนักทางสัญลักษณ์สูงมาก
จุดประสงค์ที่เป็นไปได้:
ลดทอนขวัญกำลังใจทหารไทย
ปลุกเร้าอารมณ์ชาตินิยมในฝั่งเขมร
แสดงการต่อต้านเชิงวัฒนธรรม
กระตุ้นให้ประชาชนสองฝ่ายเกลียดชังกัน
สิ่งเหล่านี้ล้วนสอดคล้องกับหลัก “สงครามจิตวิทยา” ที่เน้นโจมตีจิตใจ ไม่ใช่เพียงร่างกายหรือยุทโธปกรณ์
ปฏิกิริยาจากกองทัพไทย: สุขุมแต่ไม่ปล่อยผ่าน
ภายหลังคลิปเผยแพร่ออกไป โฆษกกระทรวงกลาโหมของไทยได้แถลงผ่านสื่อว่า
"กองทัพไทยติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และไม่เห็นด้วยกับการกระทำที่หมิ่นเกียรติบุคคลสำคัญของชาติ แม้จะเป็นพิธีกรรมในต่างแดนก็ตาม"
แหล่งข่าวภายในกองทัพยังเปิดเผยว่า พลโท บุญสิน ไม่ได้แสดงความรู้สึกหวั่นไหวใด ๆ ต่อเหตุการณ์ดังกล่าว โดยยังคงปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ พร้อมเน้นย้ำให้กำลังพล “มีสติ” และไม่ตอบโต้ด้วยอารมณ์
ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศของไทยอยู่ระหว่างการสอบถามผ่านช่องทางทูตเพื่อให้เกิดความชัดเจนในเจตนาของพิธีกรรมดังกล่าว
ประชาชนอย่า “ตกหลุมพราง” ความเชื่อปลุกปั่น
แม้ภาพที่เห็นจะสร้างความไม่พอใจแก่คนไทยจำนวนมาก แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อและวัฒนธรรมเตือนว่า อย่าให้ “ความเชื่อ” ที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการยั่วยุ กลายเป็นเชื้อไฟให้ความขัดแย้งขยายวงกว้าง
ประชาชนควรเข้าใจว่า:
พิธีกรรมนี้ไม่ได้สะท้อนมติของรัฐบาลกัมพูชา
ไม่ใช่ทุกคนในกัมพูชาที่สนับสนุนหรือเชื่อในพิธีไสยศาสตร์
การตอบโต้ด้วยความโกรธ อาจเข้าทางกลุ่มที่ต้องการสร้างความแตกแยก
สรุป: สงครามไม่ได้มีแค่ในสนามรบ แต่ยังอยู่ในจิตใจ
เหตุการณ์ “หมอผีแทงรูปแม่ทัพ” อาจดูเป็นเพียงพิธีกรรมท้องถิ่น แต่ในทางสื่อสารมวลชนและการทหาร มันคือกลยุทธ์หนึ่งของการทำสงครามรูปแบบใหม่ ที่เน้น “การโจมตีทางอารมณ์” แทนการใช้กระสุนจริง
สิ่งสำคัญคือการที่ประชาชนไทยจะต้อง มีวิจารณญาณ และ ไม่ตกเป็นเครื่องมือของการปลุกปั่น ซึ่งอาจถูกใช้ทั้งจากฝ่ายตรงข้าม หรือแม้กระทั่งบางกลุ่มในประเทศที่ต้องการกระตุ้นความขัดแย้งเพื่อเป้าหมายทางการเมือง
ในยุคที่ “ข่าว” และ “ความเชื่อ” กลายเป็นอาวุธ การมีสติคือการป้องกันที่ดีที่สุด





















