F-16 แพ้ควันไฟ หรือโดนสื่อปั่น? แชร์ว่อนแต่ข้อมูลจริงอยู่ตรงนี้!
ไขข้อเท็จจริง “F-16 แพ้ควันไฟ” จริงหรือแค่จ้อจี้? เบื้องหลังโพสต์ไวรัลในช่วงวิกฤติไทย-กัมพูชา
ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2568 ความตึงเครียดที่ชายแดนไทย-กัมพูชาทวีความรุนแรงขึ้นอย่างฉับพลัน เมื่อมีการปะทะกันทางทหารหลังฝั่งกัมพูชาเปิดฉากโจมตีก่อน โดยใช้ระบบจรวด BM-21 ยิงใส่ฐานทัพและพื้นที่พลเรือนในฝั่งไทย จนเกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของชาวบ้านในพื้นที่แนวชายแดน ส่งผลให้กองทัพไทยโดยเฉพาะกองทัพอากาศต้องตอบโต้ทันทีเพื่อยับยั้งภัยคุกคาม
หนึ่งในภารกิจที่กลายเป็นประวัติศาสตร์คือ การที่ไทยส่ง เครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 6 ลำ เข้าสู่ภารกิจโจมตีเป้าหมายในฝั่งกัมพูชา เป็นการใช้กำลังทางอากาศข้ามแดนที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในบริบทของสันติภาพยุคใหม่ นับเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ประชาชนไทยติดตามอย่างใกล้ชิด
แต่ท่ามกลางปฏิบัติการทางทหารที่ตึงเครียด กลับมีปรากฏการณ์หนึ่งที่ทำให้ชาวเน็ตพูดถึงกันอย่างกว้างขวาง นั่นคือโพสต์ไวรัลที่ระบุว่า "เครื่องบิน F-16 แพ้ควันไฟ" จนหลายคนสงสัยว่า “จริงหรือไม่?” บทความนี้จะพาไปไล่เรียงข้อเท็จจริง วิเคราะห์ทางเทคนิค และเบื้องหลังของโพสต์ดังกล่าวที่แท้จริงแล้วอาจเป็น “ทริค” ทางจิตวิทยาที่คาดไม่ถึง
เหตุการณ์ชายแดนเดือด: จุดเริ่มต้นของภารกิจ F-16
วันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ฝ่ายกัมพูชาได้เปิดฉากยิงก่อนโดยใช้จรวด BM-21 ใส่จุดยุทธศาสตร์ฝั่งไทย ส่งผลให้มีทหารและพลเรือนเสียชีวิตจำนวนหนึ่ง บ้านเรือนได้รับความเสียหายหนัก เหตุการณ์นี้นำไปสู่การตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ของไทยอย่างเร่งด่วน โดยกองทัพอากาศได้ระดม F-16 เข้าโจมตีฐานที่ตั้งทางทหารของกัมพูชา
ภารกิจดังกล่าวครอบคลุมหลายตำแหน่งในฝั่งเขมร โดยเน้นเป้าหมายที่เป็นคลังอาวุธ ฐานควบคุมการรบ และแหล่งเสบียงที่ใช้สนับสนุนการโจมตี เน้นย้ำอย่างชัดเจนว่าไม่ได้มุ่งเป้าโจมตีพลเรือน โดยมีระบบข่าวกรองคอยช่วยตรวจสอบเป้าหมายก่อนปฏิบัติการในทุกเที่ยวบิน
กระทั่งถึง วันที่ 28 กรกฎาคม 2568 หลังเที่ยงคืน ทั้งสองฝ่ายจึงมีมติหยุดยิงตามข้อตกลงที่เกิดจากการเจรจาระหว่าง ภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรีของไทย และ ฮุน มาเน็ต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โดยมีผู้นำอาเซียนร่วมเป็นตัวกลางในการไกล่เกลี่ย
โพสต์ลับ F-16 แพ้ควันไฟ: ต้นตอและข้อความไวรัล
ในช่วงที่การปะทะยังดำเนินอยู่ โดยเฉพาะก่อนวันหยุดยิงไม่กี่วัน สื่อสังคมออนไลน์ในไทยกลับมีการแชร์ข้อความหนึ่งอย่างแพร่หลาย โดยมีใจความว่า
“ลับมาก! สิ่งที่เขมรไม่รู้คือ F-16 แพ้ควันไฟ ถ้าก่อไฟให้เกิดควันลอยขึ้นมาในอากาศ เครื่องยนต์ F-16 จะไม่มีออกซิเจนในการเผาไหม้ ทำให้เครื่องยนต์ดับ ห้ามส่องไฟฉายขึ้นฟ้าเด็ดขาด เพราะแสงไฟฉายจะทำให้แยงตานักบินและเครื่องบินจะไม่สามารถทำงานได้”
ข้อความดังกล่าวกลายเป็นไวรัลอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแค่ในไทย แต่ยังถูกแชร์ข้ามไปยังชาวกัมพูชาอย่างรวดเร็ว โดยบางฝ่ายในกัมพูชายังเชื่อและเริ่มมีการจุดควันไฟในพื้นที่ รวมถึงมีบางจุดที่มีการฉายแสงไฟฉายขึ้นฟ้าโดยเชื่อว่าจะรบกวนภารกิจของ F-16
ความจริงทางเทคนิค: F-16 ไม่แพ้ควันไฟแน่นอน
ทีมข่าวของ ไทยเกอร์ (Thaiger) ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกับผู้เชี่ยวชาญด้านอากาศยานจากกองทัพอากาศและสถาบันการบิน พบว่าข้อมูลในโพสต์ดังกล่าวเป็น “ข้อมูลเท็จ” ที่ขัดกับหลักการทางวิศวกรรมการบินโดยสิ้นเชิง
1. F-16 บินสูงเกินกว่าที่ควันไฟจะลอยถึง
เครื่องบิน F-16 ขณะปฏิบัติการรบจะบินที่ระดับความสูง 15,000 – 50,000 ฟุต หรือประมาณ 4.5 – 15 กิโลเมตร ซึ่งสูงเกินกว่าที่ควันจากพื้นดินจะสามารถลอยขึ้นไปถึง ควันที่เกิดจากการเผาไหม้ไม้ ใบไม้ หรือยางรถยนต์ จะลอยขึ้นไปได้เพียงระดับความสูงไม่กี่ร้อยฟุต ก่อนจางหายและกระจายตัวในชั้นบรรยากาศ
2. ควันไฟไม่สามารถทำให้เครื่องยนต์ดับ
เครื่องยนต์ไอพ่นของ F-16 เป็นระบบเทอร์โบแฟน (Turbofan) ที่มีการดูดอากาศจากภายนอกเข้าสู่ระบบอัดอากาศและเผาไหม้พร้อมกับเชื้อเพลิงภายในห้องเผาไหม้ (Combustion Chamber) ซึ่งมีการออกแบบให้ทำงานแม้ในสภาวะอากาศเบาบาง หากมีควันหรือฝุ่นปะปนเข้าสู่ระบบ ก็จะมีการกรองและไม่มีผลต่อการทำงานจนทำให้เครื่องยนต์ “ดับ” ได้แบบในคำกล่าวอ้าง
3. แสงไฟฉายไม่มีผลต่อระบบนำทางของ F-16
การส่องไฟฉายขึ้นฟ้า แม้ในกรณีที่ตั้งใจจะทำให้แสงแยงตานักบินก็ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ เครื่องบิน F-16 มีความเร็วสูงมากในขณะบิน (มักอยู่ในระดับ Mach 1 – 2 หรือ 1,200–2,400 กม./ชม.) แสงจากไฟฉายทั่วไปไม่มีความเข้มข้นพอจะส่งผลกระทบใด ๆ
หากเป็นเลเซอร์กำลังสูง หรือแสงจากอุปกรณ์รบกวนพิเศษ (เช่น green laser) อาจก่อให้เกิดการรบกวนทางสายตาชั่วคราวได้บ้าง แต่กองทัพก็มีอุปกรณ์ป้องกันไว้เรียบร้อย
โพสต์หลอก หรือ "สงครามจิตวิทยา"?
เมื่อมองลึกลงไป หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าโพสต์ที่กล่าวว่า “F-16 แพ้ควันไฟ” อาจไม่ได้เกิดขึ้นจากความไม่รู้เท่านั้น แต่อาจมีจุดประสงค์เพื่อ “ลวงข้าศึก” โดยเจตนา ซึ่งเข้าข่ายการใช้ “สงครามจิตวิทยา” (Psychological Warfare)
การหลอกให้ศัตรูจุดไฟ สร้างควัน หรือเปิดไฟฉายขึ้นฟ้าในยามค่ำคืน เท่ากับเป็นการ เปิดเผยตำแหน่งของตนเองโดยไม่รู้ตัว ในทางทหาร การมองเห็นแสงหรือกลุ่มควันจากอากาศเป็นสิ่งสำคัญในการ "ล็อกเป้าหมาย" ให้แม่นยำขึ้น โดยเฉพาะในภารกิจของเครื่องบินที่ใช้เซนเซอร์ตรวจจับความร้อนและการเคลื่อนไหวในยามวิกาล
กล่าวได้ว่า แทนที่โพสต์นั้นจะเป็นจุดอ่อนของ F-16 กลับกลายเป็นกับดักที่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามเผยจุดยุทธศาสตร์ของตนเองแทน
สรุป: เมื่อข่าวลวงกลายเป็นอาวุธ
เรื่องราวของ “F-16 แพ้ควันไฟ” เป็นตัวอย่างที่ดีของการที่ข่าวลวงหรือความเข้าใจผิดสามารถแพร่กระจายอย่างรวดเร็วในช่วงวิกฤติ โดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีที่คนทั่วไปอาจไม่เข้าใจเชิงลึก ความเชื่อที่เกิดขึ้นโดยไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง อาจกลายเป็นดาบสองคมที่ย้อนกลับมาทำร้ายผู้ที่เชื่อข่าวนั้นเอง
ในอีกด้านหนึ่ง เรื่องนี้ก็เผยให้เห็นถึงความสำคัญของ สงครามจิตวิทยาและข่าวสาร (Information Warfare) ที่ในยุคนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในสนามรบ แต่อยู่ในโลกออนไลน์ที่ทุกคนเข้าถึงได้ในเวลาไม่กี่วินาที
ข้อคิดสำหรับประชาชน: ตรวจสอบก่อนแชร์
เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของข่าวลวงหรือกลายเป็นผู้เผยแพร่ข้อมูลผิดพลาด ประชาชนควร
หมั่นตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูล
หาข้อมูลเปรียบเทียบจากผู้เชี่ยวชาญหรือแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ
หลีกเลี่ยงการแชร์ข้อความที่มีถ้อยคำลักษณะ “ลับมาก” หรือ “ด่วนที่สุด” โดยไม่มีที่มา
พึงระลึกว่าในสถานการณ์วิกฤติความเข้าใจที่ถูกต้องคือพลังของสังคม





















