ร้องไห้แทนหลักฐาน: การเมืองน้ำตา กับความจริงที่ไม่เคยสนใจ
ประเทศที่กลายเป็นศูนย์รวมของการทำ “เรื่องเฟค”
ไม่ใช่เพราะไม่มีเทคโนโลยี
แต่เพราะไม่มีวัฒนธรรมการยอมรับความจริง
กลางวันของวันที่ 28 กรกฎาคม 2025 สมเด็จบุญราณี ฮุนเซน ภริยาของอดีตผู้นำเผด็จการแห่งกัมพูชา ได้เดินทางไปยังวัดแห่งหนึ่งในจังหวัดพระวิหาร พร้อมทีมข่าวเต็มพิกัด น้ำตาเต็มเปลือกตา และคำปราศรัยที่โทษประเทศไทยเต็มปากเต็มคำ
เธอบอกว่าเสียใจกับทหารกัมพูชาที่เสียชีวิตในการปะทะ
เธอบอกว่าประชาชนเขมรต้องไร้บ้านเพราะทหารไทย
เธอบอกว่าเธอและฮุน เซน นอนไม่หลับเมื่อเห็นประชาชนเจ็บปวด
เธอ “บอก” ทุกอย่าง
…ยกเว้น “ข้อเท็จจริง”
เธอ…
ไม่ได้พูดถึงแผนที่
ไม่ได้พูดถึงหลักฐานจากหน่วยสังเกตการณ์สากล
ไม่ได้พูดถึงคลิปวิดีโอที่เผยแพร่ไปทั่วโลกว่าทหารกัมพูชาเคลื่อนทัพเข้าสู่พื้นที่พิพาทก่อน
เพราะความจริง ไม่ใช่สารที่เธออยากสื่อ
แต่ “ดราม่า” ต่างหากที่เธอต้องการแพร่กระจาย
มันไม่ใช่เรื่องใหม่ และมันก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
นี่คือยุทธศาสตร์ที่ถูกใช้ซ้ำ ๆ ในการปกครองประเทศที่ “ไม่ต้องการประชาชนฉลาด”
พอเกิดความวุ่นวาย
พอประชาชนเริ่มตั้งคำถาม
พอความล้มเหลวในนโยบายเริ่มชัดเจน
พวกเขาจะดึงเอา “เรื่องราวจากชายแดน” มาเป็นเวทีใหญ่
และถ้าแค่คำพูดไม่พอ ก็เติม “น้ำตา” เข้าไปเพื่อให้มันสะเทือนอารมณ์
เพราะพวกเขารู้ดีว่า “อารมณ์” ชนะ “เหตุผล” ได้ง่ายกว่ามากในประเทศที่ระบบการศึกษาไม่สอนให้คิดอย่างมีวิจารณญาณ
คำถามคือ… ทำไมการโกหกถึงไม่เป็นเรื่องน่าอายในประเทศนี้?
คำตอบคือ เพราะการโกหกไม่เคยถูกลงโทษและความจริงไม่เคยถูกให้คุณค่า
มันจึงไม่แปลกที่ผู้นำจะร้องไห้ทั้งที่ผิด
ไม่แปลกที่รัฐจะกล่าวหาประเทศเพื่อนบ้านโดยไม่มีหลักฐานและไม่แปลกที่ประชาชนจำนวนไม่น้อยจะเชื่อ… อย่างไม่มีข้อสงสัย
สงสารประชาชนกัมพูชา ไม่ใช่ผู้นำของพวกเขา
น้ำตาของสมเด็จบุญราณีอาจดูน่าสงสารแต่สิ่งที่น่าสงสารยิ่งกว่าคือประชาชนของเธอที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การปกครองแบบปลุกกระแสทุกครั้งที่มีวิกฤต
พวกเขาคือเหยื่อของระบบที่ปั่นประเด็นพวกเขาคือผู้ลี้ภัยที่ถูกใช้เป็นฉากประกอบในละครน้ำตาการเมือง
พวกเขาคือผู้เสียชีวิตจริงในขณะที่คนสั่งการยังนั่งอยู่ในห้องแอร์ พูดว่านอนไม่หลับ
หากใครได้ติดตามสถานการณ์อย่างจริงจัง
จะรู้ว่าการปะทะที่ชายแดนเกิดจากฝ่ายกัมพูชาเคลื่อนกำลังพลเข้ามาในเขตพื้นที่พิพาท
ไม่ใช่แค่หนึ่งครั้งแต่เป็นหลายครั้งติดต่อกันภายในเดือนเดียว มีการยิงก่อน มีการเจรจาไม่เป็นผล มีการยึดพื้นที่บางส่วน และมีการปฏิเสธหลักฐานจากฝ่ายไทยทุกชนิด
แม้แต่ภาพถ่ายดาวเทียมที่ไม่สามารถปลอมได้ยังถูกปฏิเสธว่า “ไม่เกี่ยวข้อง”
แบบนี้ยังจะให้ประเทศไหนยอมรับคำร้องไห้โดยไม่มีเหตุผลได้อีก?
ประเทศเพื่อนบ้านควรพูดคุยกันด้วยเหตุผล ด้วยข้อมูล ด้วยหลักฐาน ด้วยความเชื่อใจจากประวัติศาสตร์ร่วมกัน
แต่เมื่ออีกฝ่ายเลือกใช้น้ำตาและคำกล่าวหาลอย ๆมันไม่ใช่การสร้างสันติภาพ แต่มันคือการฉวยโอกาสเพื่อคะแนนนิยมภายในประเทศของตัวเอง
เราไม่ได้รังเกียจน้ำตาที่ไหลมาจากอารมณ์ความสงสาร
ถ้ามันออกมาจากความจริง
แต่เราไม่ยอมรับน้ำตาที่หลั่งมาเพื่อเบี่ยงเบนความผิด
เราขอแสดงความเสียใจกับทหารกัมพูชาที่ตกเป็นเหยื่อของนโยบายบิดเบือน
และเราขอยืนยันว่า ประเทศไทยจะไม่ยอมถูกกล่าวหาอย่างไม่มีมูลความจริง
เพราะเรารู้ว่าในโลกยุคนี้
“ความจริงพิสูจน์ได้”
แต่ประเทศที่ไม่ต้องการความจริง อย่างกัมพูชา
จะมองเห็นเพียงแค่น้ำตา และเรื่องเล่า ที่หลอกตัวเองได้เรื่อยไป
ขอบพระคุณภาพ จากเรื่องเล่าเช้านี้
















