ประเทศไทย คือดวงใจของเราทุกคน มาเป็นส่วนหนึ่งในการต่อสู้เพื่อชาติ ด้วยการบริจาคโลหิตกัน
ในสถานการณ์ที่ชายแดนไทย-กัมพูชากำลังเผชิญกับความตึงเครียดและการปะทะกันอย่างต่อเนื่อง
ตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา ได้มีรายงานความต้องการโลหิตที่เพิ่มขึ้นอย่างเร่งด่วน เพื่อช่วยชีวิตผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งทหารหาญและประชาชนผู้บริสุทธิ์ในพื้นที่
ในยามวิกฤตเช่นนี้ การบริจาคโลหิตถือเป็นน้ำใจอันยิ่งใหญ่ที่สามารถเปลี่ยนเป็นลมหายใจและโอกาสในการรอดชีวิตของผู้อื่นได้
วันนี้เราจะมาดูกันว่า ถ้าเราอยากเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือ จะบริจาคโลหิตได้ที่ไหน ต้องเตรียมตัวอย่างไร
และดูแลตัวเองอย่างไรบ้าง
หัวใจหลักของการรับบริจาคและบริหารจัดการโลหิตในประเทศไทยคือ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย
การบริจาคที่นี่และเครือข่ายของสภากาชาดไทยจะช่วยให้การกระจายโลหิตไปยังพื้นที่ที่ต้องการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพที่สุดค่ะ
สำหรับผู้บริจาคในกรุงเทพฯ:
• ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ถนนอังรีดูนังต์
นี่คือศูนย์ใหญ่ที่สุดที่เปิดรับบริจาคทุกวัน ขอแนะนำให้ ลงทะเบียนนัดหมายบริจาคโลหิตออนไลน์ล่วงหน้า 1 วัน
ที่เว็บไซต์
https://bdbooking.redcross.or.th/
สำหรับผู้บริจาคในต่างจังหวัด:
• ภาคบริการโลหิตแห่งชาติ: สภากาชาดไทยมีภาคบริการโลหิตแห่งชาติกระจายอยู่ตามภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ
• โรงพยาบาลประจำจังหวัด/โรงพยาบาลศูนย์ (ที่เป็นโรงพยาบาลสาขาบริการโลหิตแห่งชาติ)
โรงพยาบาลใหญ่ๆ ในแต่ละจังหวัดมักจะมีหน่วยรับบริจาคโลหิตที่เป็นสาขาของสภากาชาดไทย
• ตรวจสอบจุดใกล้บ้าน:
คุณสามารถตรวจสอบรายชื่อจุดรับบริจาคโลหิตทั่วประเทศที่ใกล้บ้านคุณได้จากเว็บไซต์ของสภากาชาดไทยโดยตรงที่:
https://redcross.to/4aDcxm5
หน่วยรับบริจาคโลหิตเคลื่อนที่
สภากาชาดไทยมีการจัดหน่วยรถรับบริจาคโลหิตเคลื่อนที่ไปยังสถานที่ต่างๆ
เช่น มหาวิทยาลัย ห้างสรรพสินค้า หน่วยงานราชการ หรือบริษัทอยู่เสมอ นี่เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่สะดวกมาก สำหรับผู้ที่อยู่ใกล้จุดบริการชั่วคราวเหล่านี้
วิธีตรวจสอบตารางหน่วยเคลื่อนที่:
สามารถตรวจสอบตารางเวลาและสถานที่ของหน่วยเคลื่อนที่ได้จากเว็บไซต์และ Facebook Fanpage อย่างเป็นทางการของ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ก่อนเดินทางไปบริจาค
ในสถานการณ์ความขัดแย้ง สภากาชาดไทยจะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการรวบรวมและส่งต่อโลหิตไปยังโรงพยาบาลปลายทาง ที่มีความต้องการเร่งด่วนค่ะ
โดยเฉพาะโรงพยาบาลในจังหวัดที่อยู่ใกล้แนวชายแดนที่มีการปะทะ เช่น โรงพยาบาลในจังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี และบุรีรัมย์
ซึ่งสภากาชาดไทยได้มีการจัดส่งโลหิตไปสำรองไว้แล้ว และยังคงต้องการการสนับสนุนเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่องค่ะ
ใครบ้างที่สามารถบริจาคโลหิตได้? (คุณสมบัติเบื้องต้น)
เพื่อให้การบริจาคโลหิตปลอดภัยและมีคุณภาพ ทั้งต่อผู้ให้และผู้รับ ผู้บริจาคควรมีคุณสมบัติดังนี้
• อายุ: 17 – 70 ปีบริบูรณ์
(กรณีอายุ 17 ปี ต้องมีหนังสือยินยอมจากผู้ปกครอง
อายุ 60-70 ปี ต้องเป็นผู้ที่เคยบริจาคโลหิตมาแล้ว และมีสุขภาพแข็งแรง)
• น้ำหนัก: ตั้งแต่ 45 กิโลกรัมขึ้นไป
• สุขภาพแข็งแรง
ไม่อยู่ในระหว่างการเจ็บป่วย หรือทานยาปฏิชีวนะ ไม่มีโรคประจำตัวที่เป็นอุปสรรคต่อการบริจาคโลหิต
เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เบาหวานที่ต้องฉีดอินซูลิน
• พักผ่อนเพียงพอ
นอนหลับอย่างน้อย 5 ชั่วโมง
• ไม่มีพฤติกรรมเสี่ยง
เช่น การใช้ยาเสพติด หรือมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีความเสี่ยง
สิ่งที่ควรงดเว้น/หลีกเลี่ยงการบริจาคชั่วคราว:
• มีไข้ ไม่สบาย ท้องเสีย
• เพิ่งถอนฟัน ขูดหินปูน หรือรักษาฟัน ภายใน 3 วัน (หรือตามคำแนะนำแพทย์/พยาบาล)
• เพิ่งได้รับการผ่าตัดใหญ่ ภายใน 6 เดือน หรือผ่าตัดเล็ก ภายใน 1 เดือน
• เพิ่งเจาะหู สัก หรือฝังเข็ม ภายใน 4 เดือน
• มีการเดินทางไปประเทศที่มีความเสี่ยงโรคระบาดบางชนิด
(เช่น มาลาเรีย) ในช่วงเวลาที่กำหนด
• ผู้หญิงที่กำลังมีประจำเดือน กำลังตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร
ขั้นตอนการบริจาคโลหิตโดยสังเขป
สำหรับใครที่ยังไม่เคยบริจาคโลหิต สามารถทำความเข้าใจขั้นตอนง่ายๆ ได้ดังนี้ค่ะ:
1. ลงทะเบียน: กรอกข้อมูลส่วนตัวและแบบสอบถามสุขภาพ
2. คัดกรองสุขภาพ
เจ้าหน้าที่จะซักประวัติ ตรวจสอบความดันโลหิต ชีพจร และตรวจวัดความเข้มข้นของฮีโมโกลบินจากปลายนิ้ว
เพื่อให้มั่นใจว่าคุณมีสุขภาพพร้อมบริจาค
3. บริจาคโลหิต ใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที
ในการเก็บโลหิตประมาณ 350-450 มิลลิลิตร (ขึ้นอยู่กับน้ำหนัก)
4. พักฟื้นหลังบริจาค
เจ้าหน้าที่จะให้คุณนอนพักบนเตียงอย่างน้อย 10-15 นาที และยกแขนข้างที่เจาะให้สูง กดผ้าก๊อซไว้แน่นๆ ประมาณ 5-10 นาที
ก่อนและหลังบริจาคโลหิต ต้องดูแลตัวเองอย่างไร?
การเตรียมตัวที่ดีจะทำให้การบริจาคโลหิตปลอดภัยทั้งต่อตัวคุณและผู้รับ
ส่วนการดูแลตัวเองหลังบริจาคก็สำคัญไม่แพ้กัน เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วและไม่เกิดอาการแทรกซ้อน
สิ่งที่ต้องทำ (ก่อนบริจาค)
• รับประทานอาหาร
รับประทานอาหารหลักที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง และไม่อดอาหารก่อนบริจาค
• ดื่มน้ำเยอะๆ
ดื่มน้ำเปล่าประมาณ 3-4 แก้ว ก่อนบริจาค 30 นาที – 1 ชั่วโมง จะช่วยให้เลือดไหลดีขึ้นและป้องกันภาวะแทรกซ้อน
สิ่งที่ต้องทำ (หลังบริจาค)
• พักผ่อนให้เพียงพอ
นอนพักบนเตียงบริจาคอย่างน้อย 10-15 นาที
• กดผ้าก๊อซและยกแขนสูง:
กดผ้าก๊อซและยกแขนข้างที่เจาะสูง ประมาณ 5-10 นาที
• รับประทานอาหารว่างและเครื่องดื่ม
รับประทานอาหารว่างและเครื่องดื่มที่จัดให้ (เช่น นม, น้ำผลไม้) เพื่อชดเชยน้ำตาลและของเหลว
• หลีกเลี่ยงการใช้แรง: งดการยกของหนัก หรือใช้แรงแขนข้างที่เจาะ อย่างน้อย 24 ชั่วโมง
• งดกิจกรรมโลดโผน
หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักๆ การว่ายน้ำ หรือการปีนป่าย ในช่วง 24 ชั่วโมงแรก
• ดื่มน้ำเพิ่ม
ดื่มน้ำเปล่าให้มากกว่าปกติในช่วง 1-2 วันหลังบริจาค
• สังเกตอาการ
หากมีอาการผิดปกติ เช่น วิงเวียน หน้ามืด คลื่นไส้ ให้รีบนั่งพักหรือนอนลงทันที และแจ้งเจ้าหน้าที่
เพื่อข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นปัจจุบันที่สุด
(เช่น สถานการณ์ความต้องการโลหิตหมู่ใดเป็นพิเศษ, ตารางหน่วยรับบริจาคเคลื่อนที่ หรือการเปลี่ยนแปลงข้อกำหนด)
ควรตรวจสอบประกาศจากช่องทางสื่อสารทางการของ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย โดยตรง
(เว็บไซต์, Facebook Fanpage หรือ Call Center)
ก่อนเดินทางไปบริจาคโลหิตทุกครั้งค่ะ
มาเป็นส่วนหนึ่งในการต่อสู้เพื่อประเทศไทยของเรากันนะคะ
นอกจากส่งแรงใจให้กับผู้ได้รับผลกระทบทุกคนแล้ว
การบริจาคโลหิต ก็เป็นการช่วยต่อชีวิต และให้ความหวังกับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้
ทั้งเหล่าทหารหาญของชาติ และประชาชนผู้บริสุทธิ์
ปล. ประเทศไทย คือหัวใจของพวกเราทุกคน

















