ชาวเน็ตตั้งคำถาม! ทำไมกัมพูชาต้องอ้าง "ชุดไทย" ทั้งที่มีของตัวเองบนกำแพงวัด
ดราม่าอีกระลอก! โซเชียลไทยตั้งคำถาม ทำไมกัมพูชาไม่โปรโมตชุดพื้นเมืองแท้ ๆ ของตัวเอง? หลักฐานภาพวัดโบชี้ชัด “ชุดเขมรดั้งเดิม” ไม่เหมือนที่พยายามเคลมว่าเหมือนชุดไทย
วงการประวัติศาสตร์วัฒนธรรมในโซเชียลเดือดอีกครั้ง เมื่อมีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งได้จุดประเด็นร้อนเกี่ยวกับประเด็นอ่อนไหวระหว่างไทย-กัมพูชา นั่นคือ เรื่องของชุดประจำชาติ โดยครั้งนี้ไม่ได้มาในรูปของการโต้เถียงทั่วไป แต่มีการ นำหลักฐานจาก “จิตรกรรมฝาผนัง” ของวัดโบ (Wat Bo) ในเมืองเสียมราฐ ประเทศกัมพูชามาอ้างอิง และ ตั้งคำถามชวนคิด ว่า... "ถ้ากัมพูชามีหลักฐานแสดงความเป็นเอกลักษณ์การแต่งกายของตนเองอยู่แล้ว ทำไมจึงไม่โปรโมตชุดพื้นเมืองแบบแท้ ๆ ของตนเอง แต่กลับพยายามเคลมชุดที่คล้ายชุดไทยอยู่เรื่อย?"
เปิดต้นตอดราม่า: โพสต์ในกลุ่ม The Wild Chronicles ชี้ชัด "ชุดเขมรแท้เป็นแบบไหน"
เรื่องทั้งหมดเริ่มต้นจากผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ที่เป็นสมาชิกในกลุ่ม The Wild Chronicles Group ซึ่งเป็นกลุ่มของผู้สนใจประวัติศาสตร์สงคราม และข่าวสารต่างประเทศ ได้โพสต์ข้อความพร้อมภาพประกอบที่นำมาจากบล็อก “LTO Cambodia” ซึ่งเป็นแหล่งอ้างอิงข้อมูลเกี่ยวกับวัฒนธรรมของกัมพูชาโดยเฉพาะ
ในโพสต์นั้น มีการเผยแพร่ภาพ จิตรกรรมฝาผนังของวัดโบ (Wat Bo) ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองเสียมราฐ ภาพเหล่านี้วาดขึ้นในช่วง ปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 ถือเป็นหลักฐานทางศิลปะที่สะท้อน “วิถีชีวิตและเครื่องแต่งกาย” ของชาวกัมพูชาในยุคนั้นได้อย่างชัดเจน
หลักฐานชัดเจน: ชุดเขมรแท้ไม่เหมือนที่ใช้เคลมชุดไทย
จากภาพจิตรกรรมฝาผนังในวัดโบ มีรายละเอียดที่ชัดเจนเกี่ยวกับการแต่งกายของชาวกัมพูชาในอดีต ซึ่งมีลักษณะที่แตกต่างจากชุดที่มักใช้เคลมว่า “คล้ายชุดไทย” ดังนี้:
ผู้หญิง: สวมใส่ผ้าถุงที่เรียกว่า “สมปด” หรือผ้าพื้นเมืองทอลายพื้นฐาน คาดผ้าหรือพันหน้าอกโดยไม่สวมเสื้อ ซึ่งเป็นแบบที่เรียบง่ายและสอดคล้องกับวิถีชีวิตในสมัยโบราณ
ผู้ชาย: มักจะไม่สวมเสื้อเลยเช่นกัน ใส่เพียงผ้าคล้ายโจงกระเบนหรือผ้าเตี่ยว ลักษณะเปิดอก มีความเรียบง่ายแบบชาวบ้าน
ชุดเหล่านี้จึงดูแตกต่างอย่างชัดเจนจาก “ชุดศิวาลัย” หรือ “ชุดไทยจักรี” ซึ่งเป็นชุดประจำชาติของไทยที่มีความวิจิตร ตัดเย็บซับซ้อน ใช้ผ้าไหมหรูและประดับด้วยเครื่องประดับอย่างละเอียด
โซเชียลไทยตั้งคำถามกลับ: “ทำไมไม่โปรโมตของตัวเอง?”
หลังจากโพสต์ดังกล่าวถูกแชร์ออกไป มีผู้ใช้งานจำนวนมากเข้ามาร่วมถกเถียง แสดงความคิดเห็น และตั้งคำถามในแนวเดียวกันว่า
“ในเมื่อมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ชัดเจนขนาดนี้ ทำไมกัมพูชาไม่โปรโมตชุดพื้นเมืองที่แท้จริงของตนเอง?”
“ทำไมต้องพยายามเคลมชุดไทยว่าเป็นของตน ทั้งที่หลักฐานในบ้านตนเองก็แสดงไว้อย่างชัดเจนแล้ว?”
“การมีอัตลักษณ์ไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่การพยายามอ้างอิงของชาติอื่นโดยไม่มีมูลความจริงสิถึงจะน่าอาย”
เคยเกิดดราม่าลักษณะนี้มาแล้วหลายครั้ง
ประเด็นเรื่องชุดประจำชาตินั้นเป็น ประเด็นที่ละเอียดอ่อนทางวัฒนธรรม ซึ่งเคยกลายเป็นดราม่าในอดีตมาแล้วหลายครั้ง ยกตัวอย่างเช่น:
ชุดไทยพระราชนิยมที่ไทยเสนอขึ้นทะเบียนมรดกโลกด้านมรดกภูมิปัญญา กับการที่ชาวกัมพูชาบางกลุ่มออกมาเคลมว่าชุดดังกล่าวมีต้นกำเนิดจาก “วัฒนธรรมขอม”
การออกแบบชุดของดาราไทยในงานต่างประเทศที่ถูกชาวเน็ตกัมพูชาคอมเมนต์ว่า “เลียนแบบ”
คลิป TikTok หรือโพสต์ Facebook ที่ดราม่าจากการใช้คำว่า "Thai traditional dress" ซึ่งกลายเป็นข้อถกเถียงด้านสิทธิทางวัฒนธรรม
แต่การถกเถียงเหล่านี้มักขาดหลักฐานเชิงลึก ซึ่งครั้งนี้ถือว่าแตกต่าง เพราะมีการนำ หลักฐานจิตรกรรมฝาผนังของกัมพูชาเองมาแสดง ว่าชุดของกัมพูชาในอดีตแท้จริงมีหน้าตาเป็นเช่นไร
การโปรโมตวัฒนธรรมต้องตั้งอยู่บน “ความจริง”
การยกย่องวัฒนธรรมของชาติใดชาติหนึ่งย่อมเป็นสิ่งดี แต่การเคลมความเป็นเจ้าของสิ่งที่ไม่ได้มีรากเหง้าชัดเจนอาจกลายเป็นการบิดเบือนประวัติศาสตร์ และเป็นการบั่นทอนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในภูมิภาค
การที่ชาวกัมพูชาไม่ส่งเสริมชุดพื้นเมืองดั้งเดิมของตนเองตามที่ปรากฏในจิตรกรรมฝาผนัง แต่กลับเลือก “ชุดที่ใกล้เคียงกับของไทย” มาเป็นภาพแทนวัฒนธรรมของตน กลับกลายเป็นคำถามว่า เป็นเพราะ:
ต้องการเพิ่มมูลค่าด้านภาพลักษณ์ให้ดู “สง่างาม” เหมือนไทย?
หรือขาดการศึกษาข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่ถูกต้อง?
หรือเป็นความพยายามทาง Soft Power โดยการเคลมวัฒนธรรมผู้อื่น?
วัดโบ (Wat Bo) หลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์กัมพูชา
Wat Bo เป็นวัดเก่าแก่ในเมืองเสียมราฐที่มีจิตรกรรมฝาผนังหลงเหลืออยู่มากมายในสภาพที่สมบูรณ์ ภาพวาดเหล่านี้เป็นเหมือน “ไทม์แมชชีน” ที่ย้อนพาเรากลับไปสู่ชีวิตผู้คนในศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20
ภาพในวัดนี้เป็นภาพเขียนที่ใช้เทคนิคผสมระหว่างศิลปะพื้นเมืองกับอิทธิพลตะวันตก แสดงวิถีชีวิตของชาวกัมพูชาแบบเรียลลิสติก (Realistic) โดยเน้นการแต่งกาย การดำเนินชีวิต การเดินตลาด และการปฏิบัติศาสนกิจ ซึ่งยืนยันได้ว่าชุดที่ใส่กันในชีวิตจริงไม่เหมือนกับชุดในงานพิธีแบบ “ศิวาลัย” แต่อย่างใด
เสียงจากชาวเน็ต: อยากให้ไทยเน้นโปรโมตและปกป้องวัฒนธรรมของตัวเองให้มากขึ้น
จากโพสต์ดังกล่าว ทำให้ชาวเน็ตไทยหลายคนเรียกร้องว่า ประเทศไทยเองควร ผลักดัน Soft Power ด้านวัฒนธรรมอย่างจริงจัง มากยิ่งขึ้น เช่น:
ทำสารคดีหรือเนื้อหาที่อธิบายรากเหง้าชุดไทยผ่านภาพวาดและหลักฐานประวัติศาสตร์
สร้างบทเรียนออนไลน์ หรือจัดนิทรรศการระดับนานาชาติ
ผลักดันการขึ้นทะเบียนยูเนสโกในลักษณะที่ครอบคลุมกว่าชุดพระราชนิยม
สรุป: หลักฐานอยู่ที่นั่น แต่การตีความคือสิ่งที่ควรถูกตั้งคำถาม
โพสต์ในครั้งนี้จุดกระแสสำคัญขึ้นมาอีกครั้ง ว่าในยุคที่ข้อมูลหาได้ง่ายแค่ปลายนิ้ว การเผยแพร่ “ข้อเท็จจริง” จากหลักฐานภาพวาดทางประวัติศาสตร์เป็นสิ่งจำเป็นกว่าการดราม่าหรือถกเถียงโดยไม่มีรากฐาน













