วัฒนธรรมไทยฮือ! สั่งตรวจสอบ "ระบำพระราชทรัพย์" มรดกโลกกัมพูชา แอบเนียนใส่ ไกรทอง-พระสังข์-อิเหนา-จันทโครพ ขึ้นทะเบียนยูเนสโก
วันที่ 14 กรกฎาคม 2568 – โลกออนไลน์ได้ลุกเป็นไฟอีกครั้ง เมื่อมีการเผยแพร่ข้อมูลจากแหล่งข่าวไม่เป็นทางการ ระบุว่า ประเทศกัมพูชาได้เสนอขึ้นทะเบียน "ระบำพระราชทรัพย์" เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้กับองค์การยูเนสโก (UNESCO) แต่ประเด็นที่สร้างความไม่พอใจอย่างยิ่งในหมู่ชาวไทยคือ มีการอ้างอิงวรรณกรรมที่มีต้นกำเนิดจากไทย เช่น ไกรทอง, พระสังข์, อิเหนา และ จันทโครพ รวมอยู่ในชุดการแสดงที่ใช้ประกอบการขึ้นทะเบียนด้วย!
เรื่องนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดข้อพิพาททางวัฒนธรรมระหว่างสองประเทศ แต่ครั้งนี้ร้อนแรงเป็นพิเศษ เนื่องจากวรรณกรรมไทยข้างต้นล้วนเป็นส่วนหนึ่งของมรดกภูมิปัญญาและศิลปะการแสดงของไทยที่ถ่ายทอดกันมาหลายร้อยปี ไม่ว่าจะเป็นการแสดงโขน ละคร หรือวรรณคดีพื้นบ้านที่เด็กไทยได้เรียนรู้มาตั้งแต่เยาว์วัย
ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายประสพ เรียงเงิน ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า กระทรวงฯ ได้รับทราบข้อมูลดังกล่าวจากโลกโซเชียลเรียบร้อยแล้ว และไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยได้มอบหมายให้อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรมประสานงานกับกรมศิลปากร กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทันที เพื่อดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง
> “ประเทศไทยมีวรรณกรรมและศิลปะการแสดงที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และได้รับการยอมรับในระดับสากล เราจะไม่ยอมให้มีการบิดเบือนหรือแอบอ้างมรดกวัฒนธรรมไทยโดยไม่เหมาะสม”
— นายประสพ เรียงเงิน กล่าว
นักวิชาการด้านวรรณคดีไทยหลายท่านได้แสดงความเห็นตรงกันว่า ไกรทอง และ พระสังข์ เป็นวรรณกรรมที่มีรากเหง้าอยู่ในประเทศไทยมาแต่โบราณ ขณะที่ อิเหนา แม้จะมีต้นเค้ามาจากชวาอินโดนีเซีย แต่ฉบับที่แพร่หลายในไทยคือฉบับที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงพระราชนิพนธ์ด้วยสำนวนไทยแบบกาพย์กลอน จึงถือว่าเป็นมรดกของไทยเช่นกัน
ในขณะเดียวกัน โซเชียลไทยก็ต่างแสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรง หลายคนถึงกับติดแฮชแท็ก #หยุดขโมยวัฒนธรรม #เขมรเคลมเก่ง พร้อมทั้งแชร์ข้อมูลวรรณกรรมไทยควบคู่ภาพชุดระบำที่อ้างว่าเป็นของกัมพูชา ซึ่งดูคล้ายคลึงกับการแสดงโขนและละครไทยจนน่าตกใจ
สำหรับขั้นตอนการขึ้นทะเบียนกับยูเนสโกนั้น ประเทศที่เสนอชื่อจะต้องยื่นเอกสารประกอบอย่างละเอียด โดยเฉพาะเรื่องแหล่งที่มา การสืบทอด และหลักฐานทางวัฒนธรรม หากพบว่ามีการบิดเบือนข้อมูลหรือแอบอ้างทรัพย์สินทางวัฒนธรรมจากประเทศอื่น ยูเนสโกสามารถระงับหรือยกเลิกการขึ้นทะเบียนได้
การเคลื่อนไหวของกระทรวงวัฒนธรรมครั้งนี้จึงนับว่าสำคัญอย่างยิ่งในการปกป้องมรดกทางวัฒนธรรมไทยให้คงอยู่และไม่ถูกใคร “สวมสิทธิ์” ไปโดยไม่มีความชอบธรรม
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สังคมไทยควรร่วมกันทำคือการตระหนักรู้ในรากเหง้าวัฒนธรรมของตนเอง สนับสนุนการอนุรักษ์ และยืนหยัดปกป้องสิ่งที่เป็นของเราอย่างมีเหตุผลและหลักฐานชัดเจน



















