นโยบายเพื่อผู้สูงวัย! จีนปรับเพิ่มเงินบำนาญ หนุนสังคมผู้สูงอายุระยะยาว
จีนปรับขึ้นเงินบำนาญปี 2568 มุ่งช่วยเหลือผู้สูงอายุรายได้น้อย ท่ามกลางสังคมสูงวัยที่ขยายตัวรวดเร็ว
กรุงปักกิ่ง — วันที่ 13 กรกฎาคม 2568 สำนักข่าวซินหัว (Xinhua) รายงานว่า รัฐบาลจีนประกาศปรับเพิ่มเงินบำนาญประจำปี 2568 โดยจะเน้นให้ความสำคัญกับกลุ่มผู้เกษียณอายุที่มีรายได้น้อยเป็นอันดับแรก เพื่อลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำในกลุ่มประชากรสูงอายุ พร้อมย้ำจุดยืนของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญต่อสวัสดิการของผู้สูงวัยอย่างต่อเนื่อง
บำนาญจีนปี 2568 ปรับเพิ่มต่อเนื่อง เน้นกลุ่มรายได้น้อยเป็นพิเศษ
จากรายงานระบุว่า การปรับเพิ่มเงินบำนาญในปี 2568 นี้ ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของรัฐบาลจีนในการรับมือกับปัญหาสังคมผู้สูงอายุ โดยการเพิ่มขึ้นจะมุ่งเป้าไปที่ “ผู้เกษียณอายุที่มีระดับเงินบำนาญต่ำ” ซึ่งหมายถึงกลุ่มประชากรที่ได้รับผลกระทบจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น แต่อาจไม่มีรายได้อื่นใดนอกจากเงินบำนาญ
ทั้งนี้ ในปี 2567 ที่ผ่านมา รัฐบาลจีนได้ปรับเพิ่มเงินบำนาญขั้นพื้นฐานแล้ว ร้อยละ 3 จากปี 2566 โดยครอบคลุมประชาชนกลุ่มผู้เกษียณกว่า 130 ล้านคนทั่วประเทศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย “ดูแลผู้สูงวัยอย่างทั่วถึง” ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน
จีนเผชิญ “สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ” เร่งปรับนโยบายรองรับ
รายงานของรัฐบาลระบุว่า ประเทศจีนกำลังเผชิญความท้าทายด้านโครงสร้างประชากรอย่างมีนัยสำคัญ โดยข้อมูลล่าสุด ณ สิ้นปี 2567 แสดงให้เห็นว่า จำนวนประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปในประเทศอยู่ที่กว่า 310 ล้านคน หรือคิดเป็น ร้อยละ 22 ของประชากรทั้งหมด
นอกจากนี้ อายุคาดเฉลี่ยของประชากรจีนยังอยู่ที่ 79 ปี ซึ่งเป็นผลมาจากการพัฒนาด้านสาธารณสุข ระบบการแพทย์ และมาตรฐานการครองชีพที่ดีขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็ส่งผลให้ประเทศต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการและการดูแลผู้สูงวัยที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เดินหน้าพัฒนา “เสาหลักที่สาม” ของระบบบำนาญแห่งชาติ
เพื่อเตรียมรับมือกับแนวโน้มดังกล่าว จีนจึงเร่งพัฒนาระบบบำนาญอย่างรอบด้าน โดยในรายงานผลการปฏิบัติงานของรัฐบาลประจำปี 2568 มีการระบุชัดเจนว่า รัฐบาลให้คำมั่นว่าจะเร่งดำเนินการสร้าง “แผนบำนาญเสาหลักที่สาม” (Third Pillar Pension Plan) พร้อมทั้ง ส่งเสริมระบบบำนาญส่วนบุคคล (Private Pension System) อย่างจริงจัง
โครงสร้างบำนาญของจีนแบ่งออกเป็น 3 เสาหลัก:
1. เสาหลักที่หนึ่ง: ระบบบำนาญพื้นฐานของรัฐ (Basic State Pension) สำหรับพนักงานภาครัฐและเอกชน
2. เสาหลักที่สอง: กองทุนบำนาญภาคสมัครใจขององค์กรและบริษัทเอกชน
3. เสาหลักที่สาม: ระบบบำนาญส่วนบุคคล ที่เปิดให้ประชาชนทั่วไปออมเงินไว้ใช้หลังเกษียณ โดยมีสิทธิประโยชน์ทางภาษีรองรับ
การพัฒนาเสาหลักที่สามนั้นถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เนื่องจากช่วยให้ประชาชนสามารถ “วางแผนการเงิน” และ “ดูแลตัวเอง” ได้มากขึ้นในระยะยาว ลดภาระของรัฐ และกระตุ้นการออมในระดับครัวเรือน
ความเหลื่อมล้ำในกลุ่มผู้สูงวัย: ปัญหาที่จีนเร่งแก้ไข
แม้ระบบบำนาญของจีนจะครอบคลุมประชากรในวงกว้าง แต่ก็ยังมีความเหลื่อมล้ำอย่างชัดเจน โดยเฉพาะระหว่างกลุ่มที่อาศัยในเมืองใหญ่กับกลุ่มที่อยู่ในพื้นที่ชนบท
ตัวเลขเฉลี่ยระบุว่า ผู้เกษียณในเมืองใหญ่มักได้รับเงินบำนาญต่อเดือนมากกว่าผู้เกษียณในชนบท ถึงสองเท่า ทำให้กลุ่มหลังต้องพึ่งพาครอบครัวหรือแรงงานพาร์ตไทม์เพื่อยังชีพต่อไปในบั้นปลายชีวิต
ด้วยเหตุนี้ การปรับขึ้นเงินบำนาญในปี 2568 จึงให้ความสำคัญกับกลุ่ม “รายได้น้อย” เป็นพิเศษ เพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างทางเศรษฐกิจระหว่างผู้สูงอายุในแต่ละกลุ่มมากจนเกินไป
การสนับสนุนผู้สูงอายุ: เป้าหมายระยะยาวของจีน
ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับล่าสุด (Five-Year Plan) จีนได้วางเป้าหมายระยะยาวเกี่ยวกับการดูแลผู้สูงอายุ โดยเน้น 4 ด้านหลัก ได้แก่:
1. การปรับปรุงระบบบำนาญให้ทั่วถึงและยั่งยืน
2. การพัฒนาบริการทางการแพทย์และสาธารณสุขสำหรับผู้สูงวัย
3. การส่งเสริมเศรษฐกิจสีเงิน (Silver Economy) เช่น ธุรกิจดูแลผู้สูงวัย เทคโนโลยีช่วยเหลือ ฯลฯ
4. การส่งเสริมบทบาทผู้สูงอายุในชุมชน เพื่อให้สามารถใช้ศักยภาพต่อไปได้แม้เกษียณแล้ว
การดำเนินการเหล่านี้สอดคล้องกับนโยบาย “การพัฒนาที่มีมนุษย์เป็นศูนย์กลาง” ของรัฐบาลจีน ที่ต้องการให้ผู้สูงอายุใช้ชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี และมีความมั่นคงทางการเงินในช่วงบั้นปลายชีวิต
มุมมองนักวิเคราะห์: เงินบำนาญเป็นกลไกกระตุ้นเศรษฐกิจระยะยาว
นักเศรษฐศาสตร์หลายรายมองว่า การเพิ่มเงินบำนาญไม่เพียงช่วยผู้สูงอายุให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่ยังเป็น “เครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เพราะผู้สูงวัยเป็นกลุ่มที่มีพฤติกรรมการบริโภคที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นสินค้าอุปโภคบริโภค ยา อาหารเสริม รวมถึงบริการด้านสุขภาพและท่องเที่ยว ดังนั้นเมื่อมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น ก็จะส่งผลดีต่อผู้ประกอบการในประเทศโดยตรง
ความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชนคือกุญแจสำคัญ
อีกหนึ่งประเด็นที่รัฐบาลจีนให้ความสำคัญในแผนพัฒนาระบบบำนาญคือ การสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชน โดยเฉพาะในการจัดทำแผนบำนาญส่วนบุคคล ซึ่งเปิดโอกาสให้บริษัทประกัน ธนาคาร และผู้ให้บริการทางการเงินเข้ามาร่วมพัฒนาแพลตฟอร์มออมเงินเกษียณที่มีความยืดหยุ่นและตอบโจทย์ประชาชนมากขึ้น
สรุป: จีนก้าวเข้าสู่ยุคสังคมสูงวัยเต็มตัว มุ่งปรับเงินบำนาญดูแลผู้มีรายได้น้อย
นโยบายปรับขึ้นเงินบำนาญในปี 2568 ของจีนจึงไม่ได้เป็นเพียงการเพิ่มตัวเลขรายได้ของผู้เกษียณ แต่คือ แนวนโยบายเชิงโครงสร้างที่แสดงให้เห็นถึงการเตรียมความพร้อมในการรับมือสังคมสูงวัย ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วในประเทศ
จีนกำลังเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของประชากร และการให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ คือรากฐานสำคัญของสังคมที่ยั่งยืนในอนาคต















