จริงหรือมั่ว? 4 เหตุผลที่ชุดเขมรสอดไส้ไทยอาจแซงขึ้นทะเบียนยูเนสโก
อย่าประเมินต่ำ! 4 เหตุผลที่กัมพูชามีโอกาสดัน “ประเพณีแต่งงานสอดไส้ชุดไทย” ขึ้นทะเบียนยูเนสโก ลุ้นชนไทยปีหน้า
กลายเป็นประเด็นร้อนแรงและถูกจับตามองอย่างมากในแวดวงวัฒนธรรมของไทยและภูมิภาคอาเซียน เมื่อมีรายงานว่า ประเทศกัมพูชากำลังเตรียมยื่น “ประเพณีงานแต่งงานแบบเขมร” เพื่อพิจารณาขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมโลก (Intangible Cultural Heritage: ICH) โดยองค์การยูเนสโก (UNESCO) ในปี 2569
ที่น่าจับตามองคือ ประเพณีงานแต่งงานดังกล่าวมีการสอดไส้ “ชุดไทยพระราชนิยม” เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของพิธี จนหลายคนเกิดคำถามว่า เป็นการเลียนแบบหรือไม่ และจะกระทบกับโอกาสของไทยที่กำลังเสนอ "ชุดไทยพระราชนิยม" เพื่อขึ้นทะเบียนในเวทีเดียวกันหรือเปล่า
เพจดังชี้! อย่าประมาทกัมพูชา เพราะมีลุ้นผ่านยูเนสโกสูงมาก
เพจ “ASEAN มองไทย” ซึ่งเคลื่อนไหวด้านข่าวสารในภูมิภาคอาเซียน ได้ออกมาเตือนผ่านโพสต์ล่าสุดว่า คนไทยไม่ควรประเมิน “กัมพูชา” ต่ำเกินไป เพราะในความเป็นจริงแล้ว การยื่นเสนอขึ้นทะเบียนจากฝั่งกัมพูชาอยู่ในสถานะ “On-going Nomination” เช่นเดียวกับไทย และมีความเป็นไปได้สูงที่ยูเนสโกจะรับพิจารณาทั้งสองวาระในปีเดียวกัน
โดยในรายงานของเพจดังกล่าวระบุว่า มีการตรวจสอบสถานะจากเว็บไซต์ของ UNESCO แล้ว พบว่า “ประเพณีแต่งงานของกัมพูชา” อยู่ใน Tentative List เรียบร้อย และอยู่ในหมวดเดียวกันกับ “ชุดไทยพระราชนิยม” ของประเทศไทย คือ Representative List (RL) ไม่ใช่หมวดเร่งด่วน (Urgent Safeguarding List: USL) แต่อย่างใด นั่นหมายความว่า ทั้งสองประเทศมีโอกาสเท่าเทียมกัน
4 เหตุผลสำคัญที่เพจดังฟันธงว่า “กัมพูชา” มีโอกาสผ่านสูง
หนึ่งในไฮไลต์ของโพสต์คือการชี้ให้เห็นถึง 4 เหตุผลหลัก ที่ทำให้โอกาสของกัมพูชาในการผลักดัน “ประเพณีแต่งงานแบบเขมร” ซึ่งมีการใช้ชุดที่คล้ายคลึงกับชุดไทยพระราชนิยม สามารถผ่านการพิจารณาของ UNESCO ได้สูงกว่าที่หลายฝ่ายคาดคิด ได้แก่:
1. สำนักงานใหญ่ยูเนสโกตั้งอยู่ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
ในแง่ของบริบทระหว่างประเทศ ฝรั่งเศสมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับกัมพูชาในอดีต เพราะเคยเป็นประเทศอาณานิคม โดยภาษาฝรั่งเศสยังคงมีบทบาทอยู่ในระบบราชการและวัฒนธรรมของกัมพูชา การมีสำนักงานใหญ่อยู่ในฝรั่งเศสอาจเอื้อให้กัมพูชามีความคล่องตัวในการเจรจา หรือเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของยูเนสโกได้มากกว่า
2. สมเด็จพระนโรดมมักเสด็จร่วมประชุมยูเนสโก
ในบางปีที่ผ่านมา มีรายงานว่า สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งราชวงศ์นโรดม ของกัมพูชา เคยเสด็จร่วมงานประชุมใหญ่ของยูเนสโกด้วยพระองค์เอง เพื่อทำหน้าที่ “ล็อบบี้” หรือผลักดันวาระที่เกี่ยวข้องกับประเทศกัมพูชา ซึ่งถือเป็นการใช้ “Soft Power” อย่างชาญฉลาด และมีผลต่อการรับรู้ของคณะกรรมการผู้ตัดสิน
3. กรณีศึกษา “มวยโบกาโตฆ่าสิงโต” ยังขึ้นทะเบียนได้
ประเด็นนี้เพจดังตั้งข้อสังเกตว่า หากวัฒนธรรมอย่างการรำมวยโบราณที่มีการตีความอย่างกว้างอย่าง “โบกาโตฆ่าสิงโต” ยังสามารถผ่านขึ้นทะเบียนยูเนสโกได้ ประเพณีแต่งงานที่มีรูปแบบชัดเจนกว่าและจัดต่อเนื่องมายาวนานอย่างงานแต่งเขมร ก็น่าจะผ่านได้เช่นกัน
4. กัมพูชาทุ่มเทกับ ICH มากกว่าประเทศอื่นในอาเซียน
ในบรรดาสาขาต่าง ๆ ที่ยูเนสโกดูแล เพจระบุว่า กัมพูชาให้ความสำคัญกับหมวด ICH หรือ “มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม” มากเป็นพิเศษ และมีจำนวนวัฒนธรรมที่ขึ้นทะเบียนในหมวดนี้มากกว่าไทยเสียอีก เช่น การแสดงโขล (Khon) ละครวัดสวายอันเดต การเล่นเครื่องดนตรีกระจับปี ฯลฯ
ข้อมูลเปรียบเทียบสถานะของไทยและกัมพูชาในการเสนอชื่อ
ประเทศ รายการเสนอชื่อ หมวดหมู่ สถานะล่าสุด
- ไทย ชุดไทยพระราชนิยม RL On-going Nomination
- กัมพูชา ประเพณีแต่งงานเขมร (มีชุดไทย) RL Tentative List / On-going Nomination
หมายเหตุ กัมพูชาไม่ได้อยู่ใน USL จึงไม่พิจารณาเร่งด่วน
จะเห็นได้ชัดว่า ทั้งไทยและกัมพูชาอยู่ในสถานะที่ใกล้เคียงกัน และมีโอกาสได้รับการพิจารณาในปีเดียวกัน โดยแยกวันประชุมคนละวัน ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้วในปี 2018 ที่ “โขลกัมพูชา” ได้พิจารณาก่อน “โขนไทย” เพียง 1 วัน
เพจดังสะกิดใจ “อย่ามัวแต่ปลอบใจตัวเอง – อย่าปั่นข่าวเท็จ”
ข้อความหนึ่งที่เพจ “ASEAN มองไทย” เน้นย้ำและเรียกเสียงวิจารณ์ไม่น้อย คือการตักเตือนว่า ฝ่ายไทยไม่ควรประเมินกัมพูชาต่ำเกินไป หรือปลอบใจตัวเองด้วยข้อมูลที่ไม่จริง เช่น การอ้างว่า “ยูเนสโกปัดตกแล้ว” หรือ “กัมพูชาไม่มีหลักฐานเพียงพอ” เพราะในความเป็นจริง ทั้งสองประเทศอยู่ในสถานะที่ผ่านเกณฑ์ขั้นต้นทั้งหมดแล้ว
นอกจากนี้ การเผยแพร่ข่าวปลอม หรือการปั่นกระแสที่ทำให้สังคมไทยเข้าใจผิด อาจส่งผลกระทบในระยะยาวต่อภาพลักษณ์ของประเทศ และทำให้เสียโอกาสในการผลักดันวัฒนธรรมที่ควรได้รับการยอมรับในระดับโลก
แล้วไทยควรทำอย่างไร?
ทางเพจเสนอแนะว่า สิ่งที่ไทยควรทำคือ “เร่งพัฒนาการทำงานของกระทรวงวัฒนธรรม” และเน้นการจัดเตรียมเอกสาร หลักฐาน ภาพถ่าย รวมถึงวีดิทัศน์ที่เกี่ยวข้องกับ “ชุดไทยพระราชนิยม” อย่างรัดกุม ถูกต้อง และมีความสม่ำเสมอ ไม่ใช่เพียงการพึ่ง “ดวง” หรือหวังโชคช่วยในช่วงสุดท้ายของกระบวนการ
ในขณะเดียวกัน การรณรงค์สร้างความเข้าใจต่อสาธารณชนทั้งในและต่างประเทศว่า “ชุดไทยพระราชนิยม” มีความแตกต่างและมีคุณลักษณะเฉพาะตัวจากการแต่งกายของกัมพูชาก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน
สรุป: การเมืองวัฒนธรรมระหว่างไทย-กัมพูชา บนเวทียูเนสโก
กรณี “ประเพณีแต่งงานกัมพูชา” ที่สอดไส้ “ชุดไทยพระราชนิยม” กลายเป็นประเด็นที่สะท้อนให้เห็นถึงการเคลื่อนไหวของ “Soft Power” ในระดับนโยบายวัฒนธรรมระหว่างประเทศ
หากไทยยังคงประเมินคู่แข่งต่ำ หรือละเลยการเตรียมตัวให้พร้อม ก็อาจทำให้ประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชาคว้าโอกาสขึ้นทะเบียนก่อน โดยที่ “ชุดไทย” ของเราอาจกลายเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งในวัฒนธรรมของผู้อื่น
ดังนั้น การรู้ทันสถานการณ์ การสื่อสารอย่างรอบด้าน และการวางแผนอย่างมืออาชีพ คือกุญแจสำคัญที่ประเทศไทยต้องทำ หากไม่อยากพ่ายแพ้ในศึก “มรดกวัฒนธรรม” บนเวทีโลก



















