เดือด! กัมพูชาไม่พอใจ ‘แพทองธาร’ เบรกส่งคืนวัตถุโบราณ อ้างไทยไม่มีงบ
กัมพูชาไม่พอใจไทยระงับคืนวัตถุโบราณ 20 ชิ้น! “เพรือง ซะโกะนา” จี้ “แพทองธาร” เดินหน้าตามข้อตกลง ลั่นพร้อมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเองทุกกรณี
กลายเป็นประเด็นร้อนในระดับทวิภาคีที่สื่อทั้งในและต่างประเทศให้ความสนใจอย่างกว้างขวาง เมื่อทางการกัมพูชา โดย นางเพรือง ซะโกะนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและวิจิตรศิลป์ ออกแถลงการณ์ แสดงความผิดหวังและไม่พอใจอย่างชัดเจน ต่อท่าทีของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหญิงของไทยคนล่าสุด ที่มีคำสั่ง ระงับกระบวนการส่งคืนวัตถุโบราณ 20 ชิ้น ซึ่งแต่เดิมไทยและกัมพูชาได้บรรลุข้อตกลงว่าจะคืนให้ภายในปี 2568
แถลงการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึง “แรงสั่นสะเทือน” ที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้าน ที่แม้ในปัจจุบันจะมีความร่วมมือกันหลายด้าน แต่ยังคงมีรอยร้าวทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และความรู้สึกเกี่ยวกับ “สมบัติบรรพชน” ที่ยังรอการเยียวยา
จุดเริ่มต้น: คำมั่นสัญญาระหว่างไทย-กัมพูชา เมื่อเดือนเมษายน
เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรีไทย ได้เดินทางเยือนกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชาอย่างเป็นทางการ โดยถือเป็นการเยือนต่างประเทศครั้งแรกหลังเข้ารับตำแหน่งผู้นำรัฐบาล
ในการเจรจาทางการครั้งนั้น ทั้งสองฝ่ายได้บรรลุข้อตกลงที่มีนัยสำคัญยิ่งด้านวัฒนธรรม นั่นคือ การคืนวัตถุโบราณของกัมพูชาจำนวน 20 ชิ้น ที่อยู่ในการครอบครองของไทยมาอย่างยาวนาน บางชิ้นมีอายุหลายร้อยปี และถูกระบุว่า “หลุดออกจากประเทศโดยมิชอบด้วยกฎหมาย”
ข้อตกลงดังกล่าวได้รับเสียงชื่นชมจากทั้งภาควิชาการ นักโบราณคดี องค์กรระหว่างประเทศ รวมถึงประชาชนชาวกัมพูชาจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มอนุรักษ์วัฒนธรรมที่ติดตามเรื่องนี้มานานกว่า 10 ปี
ตามแผนที่ตกลงไว้ พิธีส่งมอบวัตถุโบราณจะมีขึ้นที่กรุงเทพมหานครภายในเดือนกรกฎาคม 2568 และจะเริ่มกระบวนการขนย้ายในเดือนสิงหาคม 2568 ซึ่งรัฐบาลกัมพูชา เสนอที่จะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด ตั้งแต่กระบวนการขนส่ง พิธีการ ไปจนถึงการอนุรักษ์เบื้องต้น
ช็อกกลางอากาศ: ไทยระงับกระบวนการคืนของ อ้าง “ขาดงบประมาณ”
อย่างไรก็ตาม เพียงไม่กี่เดือนหลังการเยือนอย่างอบอุ่นของผู้นำไทย ทางรัฐบาลโดย น.ส.แพทองธาร ได้มีคำสั่ง “ชะลอ” การส่งคืนวัตถุโบราณ 20 รายการ โดยให้เหตุผลว่า ยังไม่มีงบประมาณที่ชัดเจนในการสนับสนุนกระบวนการขนย้ายและการจัดพิธีมอบอย่างสมเกียรติ ซึ่งเรื่องนี้สร้างความไม่พอใจอย่างมากในฝั่งกัมพูชา
หนังสือแถลงการณ์อย่างเป็นทางการจากกระทรวงวัฒนธรรมและวิจิตรศิลป์ของกัมพูชา ลงนามโดย นางเพรือง ซะโกะนา เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2568 มีใจความชัดเจนว่า
“การระงับโดยอ้างถึงข้อจำกัดด้านงบประมาณ ไม่ใช่เหตุผลที่สมเหตุสมผลในทางการทูต และขัดกับข้อตกลงที่ได้บรรลุร่วมกัน”
“ทางกัมพูชา พร้อมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด เพื่อให้การคืนวัตถุโบราณเป็นไปตามกำหนดเวลา ไม่ควรมีข้ออ้างอื่นเพิ่มเติมอีก”
เหตุผลของไทย: แค่เลื่อน ไม่ใช่ยกเลิก?
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาลฝ่ายไทยเปิดเผยว่า การ “ชะลอ” กระบวนการส่งคืนวัตถุโบราณในครั้งนี้ ไม่ได้มีเจตนาจะยกเลิกข้อตกลงแต่อย่างใด แต่เป็นการ “บริหารจัดการงบประมาณ” ภายใต้บริบทที่รัฐบาลใหม่ยังอยู่ระหว่างจัดสรรงบรายจ่ายประจำปี 2569
ทั้งนี้ น.ส.แพทองธาร ได้แจ้งไปยังกระทรวงวัฒนธรรมให้จัดทำแผนปฏิบัติงานใหม่ และเสนอกรอบงบประมาณเพิ่มเติม เพื่อให้พิธีการส่งคืนสมบูรณ์ตามมาตรฐาน และไม่กระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลกัมพูชาไม่เห็นด้วยกับการชะลอในลักษณะนี้ และย้ำว่าตนพร้อมจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทุกบาททุกสตางค์ โดยขอให้รัฐบาลไทย ดำเนินการตามแผนเดิมโดยไม่ยืดเยื้อ
ทำไมกัมพูชาถึงซีเรียสกับวัตถุโบราณ 20 ชิ้นนี้?
วัตถุโบราณจำนวน 20 รายการที่เป็นประเด็นในครั้งนี้ ส่วนใหญ่เป็น ประติมากรรมหินทราย เทวรูปในศาสนาฮินดู-พุทธ และชิ้นส่วนสถาปัตยกรรมโบราณ ที่คาดว่าถูกนำออกจากพื้นที่โบราณสถานชื่อดัง เช่น พนมบาเค็ง, ปราสาทบันทายฉมาร์, และบริเวณใกล้เคียงนครวัด
บางชิ้นอยู่ในความดูแลของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติไทย บางชิ้นอยู่ในมือของนักสะสมส่วนตัว หรือเคยแสดงในงานศิลปวัตถุต่างประเทศ
กัมพูชาใช้เวลากว่า 20 ปีในการตามหาและเรียกร้องให้วัตถุเหล่านี้กลับคืนบ้านเกิด ถือเป็น "หัวใจของอัตลักษณ์ประจำชาติ" โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์สงครามกลางเมืองและการลักลอบค้าศิลปวัตถุอย่างแพร่หลายในช่วงทศวรรษ 1970–1990
นักวิชาการไทยเสียงแตก: บ้างเห็นใจ บ้างติงว่ารัฐบาลไทยควรทำมากกว่านี้
นักโบราณคดีและผู้เชี่ยวชาญด้านวัฒนธรรมในไทยหลายคนออกมาแสดงความคิดเห็นในเชิงสนับสนุนการส่งคืนวัตถุโบราณให้กัมพูชา โดยมองว่า
“นี่คือการส่งคืนศักดิ์ศรี ไม่ใช่แค่ก้อนหินหรือรูปปั้น แต่คือจิตวิญญาณของชาติหนึ่ง”
อีกฝ่ายก็แสดงความกังวลในเชิงการทูตว่า
“เมื่อให้คำมั่นไว้ในระดับผู้นำประเทศ การถอยกลับอาจส่งผลต่อความน่าเชื่อถือในระยะยาว โดยเฉพาะต่อสายตานานาชาติ”
ผลกระทบที่อาจตามมา
หากรัฐบาลไทยยังไม่สามารถดำเนินการตามแผนเดิมได้ อาจมีผลกระทบในหลายมิติ ได้แก่:
1. ความเชื่อมั่นทางการทูตระหว่างไทย-กัมพูชา
2. ภาพลักษณ์ของไทยในเวทีวัฒนธรรมโลก โดยเฉพาะต่อ UNESCO, ICOM และองค์กรด้านมรดกวัฒนธรรมอื่น ๆ
3. การถูกวิพากษ์จากสื่อสากลว่า “ล่าช้า” หรือ “ไม่จริงใจ” ในการคืนสมบัติประวัติศาสตร์
สรุป: ไทยควรเดินหน้าหรือถอยหลัง?
กรณี “20 วัตถุโบราณ” คือเครื่องชี้วัดระดับความจริงใจระหว่างประเทศในยุคสมัยที่วัฒนธรรมกลายเป็น “พลังอ่อน” (soft power) สำคัญในการขับเคลื่อนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
คำถามคือ...ไทยจะเดินหน้าสู่เวทีวัฒนธรรมโลก ด้วยการยอมรับอดีต และคืนศักดิ์ศรีให้เพื่อนบ้าน?
หรือจะเลือกเส้นทางแห่งความระแวง ชะลอออกไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นรอยร้าวในความไว้ใจ?






















