ตึงต่อเนื่อง! แม่ทัพภาค 2 เตรียมสั่งปิดด่าน “ช่องสะงำ–ช่องจอม” เพิ่มอีก 2 จุด
ตึงเครียด! ไทย-กัมพูชาสะบั้นด่านชายแดน หลังเหตุกรุ๊ปทัวร์ลุกล้ำอธิปไตย “แม่ทัพภาคที่ 2” เตรียมปิดเพิ่มอีก 2 ด่านใหญ่
ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชาในช่วงกลางปี 2568 นี้ กลับมาสั่นคลอนอย่างรุนแรงอีกครั้ง เมื่อสถานการณ์ตามแนวชายแดนตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างของไทยทวีความตึงเครียดต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลังจากเหตุการณ์นักท่องเที่ยวชาวกัมพูชาประมาณ 30 คน เดินทางเข้าสู่พื้นที่โบราณสถานสำคัญในฝั่งไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต และมีพฤติกรรมที่เข้าข่ายละเมิดอธิปไตยไทย
นำไปสู่การเคลื่อนไหวของฝ่ายความมั่นคงและการทูต ทั้งไทยและกัมพูชา จนกระทั่งล่าสุด เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 22 มิถุนายน 2568 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ได้มีการเปิดเผยว่า กำลังเตรียมลงนามในคำสั่ง “ปิดด่านช่องสะงำ จังหวัดศรีสะเกษ” และ “ด่านช่องจอม จังหวัดสุรินทร์” ซึ่งเป็น 2 ด่านผ่านแดนถาวรขนาดใหญ่ เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของประชาชนบริเวณแนวชายแดน
ย้อนเหตุปมร้าว “กรุ๊ปทัวร์เขมร” บุกปราสาทตาควาย จุดชนวนความไม่พอใจฝ่ายไทย
เหตุการณ์เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา เมื่อมีรายงานว่า นักท่องเที่ยวชาวกัมพูชาจำนวนประมาณ 30 คน ได้เดินทางเข้าสู่พื้นที่บริเวณ ปราสาทตาควาย ตำบลบักได อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ โดยไม่มีการประสานกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยตามขั้นตอนที่เหมาะสม
ไม่เพียงเท่านั้น นักท่องเที่ยวกลุ่มดังกล่าวยังได้มีการ บันทึกวิดีโอ ถ่ายภาพ และร่วมร้องเพลงในพื้นที่ปราสาท ซึ่งถือเป็นพื้นที่โบราณสถานสำคัญของไทย การกระทำดังกล่าวแม้ไม่ได้รุนแรงทางกายภาพ แต่สร้างความไม่พอใจในเชิงสัญลักษณ์ เนื่องจากเป็นการเข้าใช้พื้นที่อ่อนไหวด้านอธิปไตยโดยพลการ
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ทหารไทยในพื้นที่โดย กองกำลังสุรนารี ได้เข้า ระงับเหตุอย่างสงบ สุภาพ และไม่ใช้กำลังเกินความจำเป็น แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ฝ่ายไทยเริ่มตระหนักว่า การเปิดจุดผ่อนปรนการค้าอย่างเสรี อาจกลายเป็นช่องโหว่ของความมั่นคงทางพื้นที่ได้
แม่ทัพภาคที่ 2 เอาจริง สั่งปิดช่องสายตะกูก่อน – เตรียมลามช่องสะงำ-ช่องจอม
เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว แม่ทัพภาคที่ 2 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง ได้ลงนามในคำสั่ง ปิดจุดผ่อนปรนการค้าช่องสายตะกู ตำบลจันทบเพชร อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ มีผลตั้งแต่วันที่ 21 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป โดยอ้างเหตุผลหลักคือเพื่อ “รักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงตามแนวชายแดน”
การเคลื่อนไหวครั้งนี้ทำให้รัฐบาลกัมพูชานำโดย ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา แสดงท่าทีตอบโต้ทันที โดยประกาศ “ปิดถาวร” ด่านฝั่งของกัมพูชา 2 จุด คือ ช่องจอม-จักโกกี เพื่อแสดงจุดยืนเชิงการทูตและสื่อถึงความไม่พอใจในการเคลื่อนไหวของไทย
สถานการณ์จึงกลายเป็นการ “ตอบโต้กันทางด่าน” แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ซึ่งล่าสุดฝั่งไทยเองก็ไม่อ่อนข้อ โดยแม่ทัพภาคที่ 2 เตรียมลงนามปิดด่านฝั่งไทยเพิ่มเติมอีก 2 จุดสำคัญ นั่นคือ:
ด่านผ่านแดนถาวรช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ
ด่านผ่านแดนถาวรช่องจอม จ.สุรินทร์
ผลกระทบลูกโซ่: ประชาชนชายแดน-พ่อค้าแม่ค้าเดือดร้อนทันที
แม้การปิดด่านจะมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาความปลอดภัยของชาติและประชาชน แต่ผลกระทบที่ตามมาย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะกับ พ่อค้าแม่ค้าในตลาดชายแดน และ ประชาชนทั้งสองฝั่ง ที่พึ่งพาการค้าชายแดนเป็นรายได้หลัก
ที่ผ่านมา ช่องสายตะกูและช่องจอมถือเป็นจุดซื้อขายระหว่างประเทศที่คึกคัก โดย:
ประชาชนชาวกัมพูชา มักข้ามมาซื้อของจำเป็น เช่น ข้าว พืชผัก น้ำมัน อุปโภคบริโภค
ฝั่งไทย มักข้ามไปซื้อสุรา เบียร์ บุหรี่ รวมถึงเข้าไปใช้บริการบ่อนกาสิโนในฝั่งเขมรอย่างถูกกฎหมายของประเทศนั้น
การปิดด่านอย่างต่อเนื่องทำให้เกิด ความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจระดับชุมชน โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่มีประชากรหลายหมื่นคนเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจแนวชายแดนโดยตรง
สงครามเงียบเชิงการทูต-การค้าระหว่างไทย-กัมพูชา ปะทุขึ้นอีกครั้ง
แม้ยังไม่มีการใช้กำลังทางทหาร แต่การตอบโต้กันผ่านมาตรการ “ปิดด่าน” แสดงให้เห็นถึงความตึงเครียดเชิงยุทธศาสตร์ ที่ทั้งสองฝ่ายไม่ต้องการพูดตรง ๆ แต่ต่างแสดงออกผ่านการกระทำ โดยมี “ประชาชนแนวชายแดน” กลายเป็นเหยื่อที่ได้รับผลกระทบโดยตรง
ที่สำคัญคือ ความเข้าใจผิดเรื่องอธิปไตยในเขตโบราณสถาน ยังคงเป็นประเด็นอ่อนไหว และอาจจุดชนวนความขัดแย้งในอนาคตหากไม่มีการประสานงานที่ชัดเจนหรือข้อตกลงร่วมกันในระดับรัฐบาล
เสียงจากคนในพื้นที่: อย่าลากประชาชนไปเล่นเกมการเมือง
ชาวบ้านในพื้นที่อำเภอบ้านกรวดและอำเภอพนมดงรัก ต่างออกมาให้สัมภาษณ์ว่า การปิดด่านเป็นเรื่องที่ทำให้ “ความเป็นอยู่ลำบากลงทันที” หลายครอบครัวต้องหยุดขายของ ตลาดเงียบ รายได้หาย ขณะที่ผู้สูงอายุจำนวนมากที่อาศัยรายได้จากนักท่องเที่ยวข้ามแดนก็เริ่มวิตก
บางรายกล่าวว่า:
“ขอให้รัฐคิดถึงชาวบ้านด้วย ไม่ใช่เอาเรื่องการเมืองมากระทบการดำรงชีวิตของคนธรรมดาแบบพวกเรา”
บททดสอบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ไม่ควรจบด้วย “การปิดประตู”
สถานการณ์ปัจจุบันระหว่างไทย-กัมพูชา ถือเป็นอีกหนึ่งบททดสอบด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในยุคที่ภูมิภาคอาเซียนควรเน้นความร่วมมือ ไม่ใช่การเผชิญหน้า
การปิดด่านต่อเนื่องอาจให้ผลลัพธ์ระยะสั้นด้านความปลอดภัย แต่ในระยะยาว หากไม่มีช่องทางการเจรจา การกระทบกระเทือนทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม จะยิ่งทวีความรุนแรง
สิ่งที่ทั้งสองประเทศควรทำในเวลานี้ คือ:
กลับมาเปิดโต๊ะเจรจาทางการทูต
วางมาตรการร่วมด้านความมั่นคงบริเวณโบราณสถาน
ปรับแนวทางการเปิดด่านให้ปลอดภัยแต่ยืดหยุ่น
หลีกเลี่ยงการใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือทางการเมือง
เพราะสุดท้ายแล้ว “ประตูชายแดน” อาจปิดลงได้ง่าย ๆ ด้วยลายเซ็น แต่ “ใจประชาชนสองฝั่งแดน” จะไม่กลับมาเปิดง่าย ๆหากไร้ความเข้าใจและความร่วมมือที่แท้จริง.





















