แฉสนั่น! ข้าวกัมพูชาส่งจีน แอบใช้ธงชาติไทย–ฉลากภาษาไทย หลอกผู้บริโภค?
“ข้าวเขมรแปะธงไทย” ดราม่าร้อนบนแผ่นดินจีน! ปมฉ้อฉลเชิงวัฒนธรรมสะท้อนความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา
ท่ามกลางสถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่กลับมาร้อนแรงอีกครั้งจากการที่กัมพูชาได้ยื่นหนังสืออย่างเป็นทางการต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือศาลโลก เพื่อขอให้พิจารณาข้อพิพาทเกี่ยวกับอธิปไตยเหนือพื้นที่โบราณสถาน 3 แห่ง ได้แก่ ปราสาทตาเมือนธม, ปราสาทตาเมือนโต๊ด, และ ปราสาทตาควาย รวมถึงพื้นที่บริเวณ มอมเบย (สามเหลี่ยมมรกต) ซึ่งอยู่ในเขตติดต่อระหว่างสามประเทศ (ไทย – กัมพูชา – ลาว)
เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างแรงสะเทือนด้านการทูตและความมั่นคงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างมีนัยสำคัญ โดยส่งผลให้ฝ่ายไทยมีคำสั่งปิดจุดผ่อนปรนและด่านพรมแดนหลายแห่ง เพื่อควบคุมสถานการณ์และรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ชายแดน
อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งดังกล่าวไม่ได้หยุดอยู่แค่เรื่องของดินแดน เพราะในโลกออนไลน์กลับเกิด ดราม่าใหม่ที่สั่นสะเทือนวงการส่งออก เมื่อมีการเปิดโปงว่า “ข้าวกัมพูชาบางแบรนด์ที่วางขายในจีน แอบใช้ธงชาติไทยและภาษาไทยบนฉลากสินค้า” แม้จะระบุว่าเป็น “ข้าวหอมมะลิกัมพูชา” แต่กลับใช้ภาพลักษณ์ของไทยเพื่อสร้างความเข้าใจผิดให้กับผู้บริโภคจีนว่าเป็นข้าวไทยแท้
เปิดโปงกลางเพจ! ข้าวเขมรสวมธงไทย สร้างความเข้าใจผิดบนแผ่นดินจีน
เพจเฟซบุ๊กชื่อดัง “เปาบุ้นจัน” ได้เผยแพร่ภาพถุงข้าวสารที่ระบุว่าเป็น “ข้าวหอมมะลิกัมพูชา” ผลิตในประเทศกัมพูชา แต่กลับใช้ ภาษาบนฉลากเป็นภาษาไทยทั้งหมด พร้อม แปะธงชาติไทยข้างถุงอย่างเด่นชัด โดยโพสต์ระบุว่า มีคนไทยที่พำนักอยู่ในประเทศจีนเป็นผู้พบเจอและแจ้งเข้ามา
ข้อความบนเพจระบุว่า:
"คนไทยในจีนแจ้งมา พบข้าวเขมรที่ผลิตในกัมพูชา ส่งออกตลาดจีน แต่ใช้ภาษาไทย และธงชาติไทย เพื่อหลอกคนจีนให้เข้าใจว่านี่คือข้าวจากประเทศไทย ทั้งที่ความจริงแล้วเป็นข้าวจากกัมพูชา"
ภาพดังกล่าวสร้างความไม่พอใจในหมู่ชาวไทยจำนวนมากทันที โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาว่า ข้าวหอมมะลิไทยเป็นสินค้า GI (Geographical Indication) หรือสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนระดับสากล มีชื่อเสียงและความเชื่อมั่นในหมู่ผู้บริโภคทั่วโลก โดยเฉพาะในตลาดพรีเมียมอย่างจีน
ข้าวไทยแท้ – ชื่อเสียงระดับโลกที่ไม่ต้อง “สวมธงใคร”
ข้าวหอมมะลิไทยถือเป็นหนึ่งในสินค้าเกษตรที่มีชื่อเสียงระดับโลก และเป็น ผลผลิตเชิงวัฒนธรรมที่บ่มเพาะจากภูมิปัญญาและธรรมชาติของไทย โดยเฉพาะจากพื้นที่ภาคอีสาน เช่น จังหวัดยโสธร สุรินทร์ ร้อยเอ็ด ฯลฯ ที่มีสภาพดิน น้ำ อากาศ เอื้อต่อการปลูกข้าวพันธุ์หอมมะลิอย่างแท้จริง
ดังนั้น การที่ประเทศอื่นนำข้าวของตนเองมาแอบอ้างเป็น “ข้าวไทย” ถือว่าเป็น การสร้างความเสียหายทั้งต่อชื่อเสียงประเทศ และต่อเศรษฐกิจของเกษตรกรไทยโดยตรง อีกทั้งยังขัดต่อหลักจริยธรรมและกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาในระดับสากล
รัฐไม่อยู่เฉย! “พิชัย นริพทะพันธุ์” สั่งทูตพาณิชย์ประสานจีน ดำเนินการขั้นเด็ดขาด
ภายหลังมีการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว รายการ “เรื่องเล่าเสาร์-อาทิตย์” ช่อง 3 รายงานว่า นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้รับทราบเรื่องนี้และ มีคำสั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตรวจสอบโดยด่วน
โดยเฉพาะการมอบหมายให้ “ทูตพาณิชย์ไทยประจำประเทศจีน” เร่งประสานกับเจ้าหน้าที่ทางการจีน เพื่อให้มีการตรวจสอบต้นทางของสินค้าว่าเป็นข้าวจากกัมพูชาจริงหรือไม่ และมีการจงใจหลอกลวงผู้บริโภคหรือสวมเครื่องหมายการค้าผิดกฎหมายหรือไม่
“หากพบว่าเข้าข่ายลอกเลียนแบบสินค้าไทย หรือใช้เครื่องหมายบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์โดยไม่ได้รับอนุญาต ทางกระทรวงฯ พร้อมจะดำเนินการตามกฎหมายระหว่างประเทศเพื่อปกป้องสิทธิของคนไทย”
– นายพิชัย กล่าวผ่านรายการข่าว
เมื่อความขัดแย้งเรื่อง "ดินแดน" ลุกลามสู่ "การค้าปลอมแปลง" และ "อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม"
เหตุการณ์ในครั้งนี้อาจดูเหมือนแค่การปลอมแปลงสินค้า แต่จริง ๆ แล้ว เป็นการสะท้อนถึงความซับซ้อนของความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ที่ไม่ได้จำกัดแค่ในเรื่องเขตแดน แต่ลามไปถึงเรื่องของอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม การอ้างสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา และแม้แต่ “ชื่อเสียง” ของสินค้าไทยในเวทีโลก
เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ ก่อนหน้านี้ไทยเคยเผชิญกรณี:
ชุดประจำชาติ ที่บางครั้งถูกกล่าวหาว่า “ไทยลอกกัมพูชา” ทั้งที่ศิลปะในภูมิภาคมีความคล้ายคลึงกันโดยธรรมชาติ
การถกเถียงเรื่อง ข้าวเหนียวมะม่วง, โขน, หรือแม้แต่ ดนตรีพื้นบ้าน ซึ่งกลายเป็นข้อถกเถียงด้านวัฒนธรรมในโซเชียลมีเดียอย่างต่อเนื่อง
คำถามที่น่าคิด: ถ้าสินค้าดีจริง ทำไมไม่ใช้ชื่อของตัวเอง?
สิ่งที่หลายคนตั้งคำถามในกรณีนี้คือ หากข้าวของกัมพูชามีคุณภาพจริง ทำไมถึง ไม่กล้าระบุชื่อประเทศบนฉลากตรง ๆ และต้องใช้ธงชาติไทยแปะเพื่อให้สินค้าดูมีมูลค่าเพิ่มในสายตาผู้บริโภค?
นี่จึงเป็นคำถามสำคัญที่สะท้อนว่า ภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตานานาชาติยังคงมีความน่าเชื่อถือและแข็งแกร่ง จนถึงขนาดที่ประเทศอื่นต้อง "ยืม" ตัวตนของไทยไปสร้างความเชื่อมั่น
ไทยต้องเดินหน้าปกป้อง “Soft Power” ด้วยกฎหมายและความชัดเจน
เมื่อสินค้าทางวัฒนธรรมกลายเป็น "ทรัพย์สินทางยุทธศาสตร์" ของชาติ การรักษาอัตลักษณ์และภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตาชาวโลกไม่ใช่เรื่องเล็กอีกต่อไป
กรณี “ข้าวกัมพูชาแปะธงไทยในจีน” ไม่ใช่แค่เรื่องของเกษตรกร ไม่ใช่แค่เรื่องของความถูกต้องทางการค้า แต่มันคือการ ปกป้องตัวตนของชาติไทย ในเวทีระหว่างประเทศ ซึ่งประเทศไทยควรยืนหยัดด้วยความชัดเจน ใช้กฎหมายระหว่างประเทศเป็นเครื่องมือ และเดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งให้ Soft Power ของไทยในระยะยาว
เพราะ... ของแท้ไม่ต้องโฆษณาว่า “ของดี” คนเขารู้เอง!
















