ชายแดนตึง! แม่ทัพภาค 2 สั่งปิด "ช่องสายตะกู" หวั่นกระทบความมั่นคง
ไทยสั่งปิด “จุดผ่อนปรนช่องสายตะกู” หลังนักท่องเที่ยวกัมพูชาเดินข้ามแดนไม่เหมาะสม สะเทือนเศรษฐกิจชายแดนอีกระลอก
สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์และสุรินทร์ กลับมาเป็นที่จับตามองอีกครั้ง หลังจากที่ พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ได้มีคำสั่งปิด “จุดผ่อนปรนการค้าช่องสายตะกู” ตำบลจันทบเพชร อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ เมื่อค่ำวันที่ 21 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา โดยให้มีผลทันที เพื่อความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่
เหตุการณ์ต้นตอ: กลุ่มนักท่องเที่ยวกัมพูชากว่า 30 คน เดินข้ามแดนโดยไม่ได้รับอนุญาต
เหตุการณ์เริ่มต้นจากกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวกัมพูชาประมาณ 30 คน ได้เดินทางเข้ามายังบริเวณปราสาทตาควาย ตำบลบักได อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ โดยไม่มีการประสานงานล่วงหน้ากับทางการไทย กลุ่มนักท่องเที่ยวดังกล่าวได้บันทึกวิดีโอ และร่วมกันร้องเพลงภายในพื้นที่ ซึ่งเป็นเขตที่อยู่ใกล้แนวชายแดนและมีความอ่อนไหวในแง่ความมั่นคง
แม้ว่าเจ้าหน้าที่ทหารไทยในพื้นที่จะเข้าไประงับเหตุอย่างสุภาพและเหมาะสม แต่เหตุการณ์นี้ก็จุดประกายความกังวลเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของบุคคลข้ามแดนโดยไม่มีการควบคุม ซึ่งอาจเป็นช่องว่างที่นำไปสู่ปัญหาอื่น ๆ ตามมา เช่น การลักลอบเข้าเมือง การค้าแรงงานผิดกฎหมาย และแม้แต่การเคลื่อนไหวในเชิงยุทธศาสตร์ที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงระหว่างประเทศ
คำสั่งกองทัพภาคที่ 2 ชัดเจน: ปกป้องอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชน
การสั่งปิดจุดผ่อนปรนการค้าช่องสายตะกูในครั้งนี้อ้างอิงตามคำสั่งของกองทัพบก (เฉพาะ) ที่ 806/2558 ซึ่งให้อำนาจกองทัพภาคที่ 2 โดยกองกำลังสุรนารี ควบคุมการเปิด-ปิดจุดผ่านแดนทุกประเภทตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา
สาระสำคัญของคำสั่งระบุว่า ต้องมีการควบคุมการเปิดปิดจุดผ่านแดนด้วยวิธีการ เงื่อนไข หรือช่วงเวลา ที่เหมาะสม เพื่อปกป้อง อธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน ของไทย และรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่
ช่องสายตะกู: จุดผ่อนปรนเล็ก ๆ แต่มีบทบาททางเศรษฐกิจที่สำคัญ
ก่อนหน้านี้ จุดผ่อนปรนการค้าช่องสายตะกู เปิดให้บริการแบบจำกัด ตามมาตรการควบคุมวันเวลา คือ 3 วันต่อสัปดาห์ ได้แก่ วันอังคาร วันพุธ และวันพฤหัสบดี ระหว่างเวลา 09.00 - 12.00 น. เพื่ออำนวยความสะดวกในการค้าขายระหว่างประชาชนฝั่งไทยและกัมพูชา
โดยลักษณะของการค้าในพื้นที่นี้จะเป็นการค้าปลีกแบบพื้นฐาน ประชาชนฝั่งกัมพูชานิยมข้ามมาซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น ข้าวสาร อาหารแห้ง พืชผัก ผลไม้ ปุ๋ย และของใช้จำเป็น ส่วนฝั่งคนไทยบางส่วนข้ามไปฝั่งกัมพูชาเพื่อซื้อ เหล้า เบียร์ บุหรี่ ตามปริมาณที่รัฐกำหนด และยังมีบางรายที่ข้ามไปเพื่อ เล่นบ่อนกาสิโน ซึ่งยังคงมีอยู่ในฝั่งกัมพูชา
ปิดจุดผ่อนปรนสองแห่งซ้อน กระทบชีวิตประจำวันของชาวบ้าน
ไม่ใช่เพียงแค่ “ช่องสายตะกู” เท่านั้นที่ถูกปิด เพราะก่อนหน้านี้ “จุดผ่อนปรนช่องอานม้า” ก็ถูกสั่งปิดเช่นกัน ทำให้ปัจจุบันเหลือเพียง จุดผ่านแดนถาวร 2 แห่ง ที่ยังเปิดให้ใช้งานได้คือ “ช่องสะงำ” และ “ช่องจอม” เท่านั้น
การปิดจุดผ่อนปรนเหล่านี้แม้จะมีเหตุผลด้านความมั่นคงเป็นสำคัญ แต่ในอีกด้านก็สะเทือนเศรษฐกิจของชุมชนท้องถิ่นที่พึ่งพาการค้าชายแดนเป็นหลัก ทั้งในฝั่งไทยและฝั่งกัมพูชา
ชาวบ้านจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย ได้รับผลกระทบโดยตรง เพราะรายได้หลักมาจากการขายของตามตลาดชายแดน รวมถึงกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าชายแดนที่เคยใช้เส้นทางนี้ในการแลกเปลี่ยนสินค้า กำลังเผชิญความไม่แน่นอนและอาจต้องหาช่องทางทำกินใหม่ในระยะยาว
มุมมองด้านความมั่นคง vs. ปากท้องของประชาชน
กรณีนี้สะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งทางผลประโยชน์ระหว่างมิติของ “ความมั่นคง” กับ “เศรษฐกิจฐานราก” โดยในมุมของหน่วยความมั่นคง จำเป็นต้องปกป้องชายแดนจากการลักลอบ การแทรกซึม หรือกิจกรรมที่อาจเสี่ยงต่อความสงบเรียบร้อย แต่ในมุมของประชาชน ความมั่นคงที่ไร้ความกินอิ่มนอนหลับก็อาจไม่ใช่คำตอบในระยะยาว
คำถามสำคัญ: ทางออกคืออะไร?
1. ควรมีการหารือระดับท้องถิ่น ระหว่างฝ่ายปกครอง, กองทัพ, และตัวแทนชุมชน เพื่อหาทางออกที่เหมาะสมต่อทั้งสองฝ่าย เช่น อาจมีการตั้งจุดตรวจที่เข้มงวดแต่ไม่จำเป็นต้องปิดทั้งหมด
2. ส่งเสริมอาชีพและเศรษฐกิจทดแทน ให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการปิดจุดผ่อนปรน โดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิงและผู้สูงอายุที่หาเลี้ยงชีพจากตลาดชายแดน
3. จัดทำฐานข้อมูลและระบบติดตาม นักท่องเที่ยวและผู้สัญจรข้ามแดนอย่างเป็นระบบ เพื่อป้องกันการเดินทางโดยไม่ได้รับอนุญาตและเหตุการณ์แบบเดียวกันในอนาคต
การปิดจุดผ่อนปรนช่องสายตะกูอาจดูเหมือนเป็นมาตรการปกติในบริบทความมั่นคง แต่เบื้องหลังมีชาวบ้านนับร้อยนับพันที่ต้องปรับตัวอย่างกะทันหัน การจัดสมดุลระหว่างความมั่นคงของชาติ และความมั่นคงในชีวิตของประชาชน คือบททดสอบสำคัญที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องร่วมกันตอบคำถามนี้ให้ได้
หากมีความเคลื่อนไหวเพิ่มเติมจากทางฝั่งกัมพูชา หรือมีการตอบโต้ใด ๆ จากชุมชนท้องถิ่น ฝ่ายนโยบายและนักวิชาการอาจต้องเข้ามาร่วมวิเคราะห์แนวทางการเปิด-ปิดด่านให้เหมาะสมต่อสถานการณ์ในระยะยาว ไม่เช่นนั้น วงจรความขัดแย้งนี้ก็อาจจะกลับมาอีกครั้งในรูปแบบใหม่




