ฮุน มาเนต เดือด! สวนกลับไทยทันควัน หลังแม่ทัพภาค 2 สั่งปิดด่านชายแดน
ปมร้อนชายแดน! ไทยปิดด่าน “ช่องสายตะกู” ฮุน มาเนต เดือด สั่งปิดสวนกลับ 2 ด่าน ซัดไทยไร้เอกภาพ-กดดันเพื่อนบ้านแบบไม่มีข้อตกลง
สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ร้อนระอุขึ้นอีกครั้ง เมื่อกองทัพไทย โดยเฉพาะแม่ทัพภาคที่ 2 มีคำสั่งให้ปิด “ด่านช่องสายตะกู” จังหวัดบุรีรัมย์ แบบไม่มีกำหนด เริ่มมีผลทันทีตั้งแต่วันที่ 21 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป ส่งผลให้เกิดกระแสตอบโต้จากฝั่งกัมพูชาอย่างรุนแรง โดยล่าสุด พล.อ.ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กอย่างดุเดือด พร้อมสั่งปิดด่านชายแดนฝั่งกัมพูชาตอบโต้ไทยแบบ “ถาวร” ถึง 2 จุดสำคัญ
จุดเริ่มต้นความขัดแย้ง: ไทยปิด “ช่องสายตะกู” โดยไม่แจ้งล่วงหน้า
ต้นเหตุของความไม่พอใจจากฝั่งกัมพูชามาจากการที่แม่ทัพภาคที่ 2 ของไทยมีคำสั่ง “ปิดด่านช่องสายตะกู” โดยไม่ได้มีการเจรจาหรือแจ้งเตือนล่วงหน้ากับทางการกัมพูชา แม้จะเป็นด่านที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ และการค้าชายแดนที่หล่อเลี้ยงวิถีชีวิตของชาวบ้านทั้งสองฝั่งชายแดนมายาวนาน
ด่านช่องสายตะกูตั้งอยู่ในพื้นที่ชายแดนระหว่างอำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ กับพื้นที่ของจังหวัดอุดรมีชัย ของกัมพูชา ซึ่งถือเป็นช่องทางหลักในการเดินทางและค้าขายของประชาชนในท้องถิ่นมาโดยตลอด
“ฮุน มาเนต” เดือด! โพสต์สวนกลับไทยกลางดึก สั่งปิด 2 ด่านแบบถาวร
จากคำสั่งปิดด่านโดยฝ่ายไทย พล.อ.ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ได้ออกมาเคลื่อนไหวผ่านเฟซบุ๊กอย่างชัดเจน โดยเปิดเผยว่าทางผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรมีชัยของกัมพูชา ได้รายงานเหตุการณ์ทั้งหมดให้เขาทราบตั้งแต่คืนวันที่ 21 มิถุนายน 2025 พร้อมระบุว่า “กองทัพไทยภาค 2” ได้ตัดสินใจปิดด่านแบบ “ฝ่ายเดียว” โดยไม่มีการเจรจา ซึ่งสร้างความไม่พอใจอย่างยิ่ง
ผลที่ตามมาคือ นายกฯ กัมพูชาได้สั่งปิด “ด่าน Say Taku-Jobkkir” ในเขต Banteay Ampil จังหวัดอุดรมีชัย อย่างถาวร พร้อมสั่งปิดอีกหนึ่งจุดคือ “ด่านหลงเวง” ในจังหวัดอุดรมีชัยเช่นกัน โดยระบุว่าการตอบโต้ครั้งนี้เป็น “มาตรการสะท้อน” ต่อการกระทำของไทยที่ไม่เป็นมิตรและไร้หลักการชัดเจน
“หากฝั่งไทยต้องการให้ด่านกลับมาเปิดตามปกติ ก็แค่เปิดประตูที่ตัวเองเป็นฝ่ายปิดก่อน กัมพูชาจะตอบสนองภายใน 5 ชั่วโมง ไม่ต้องต่อรองอะไรทั้งนั้น ขอเพียงแค่ ‘ความจริงใจ’ จากฝั่งไทยเท่านั้น”
– พล.อ.ฮุน มาเนต
ฮุน มาเนต สับไทย “สองมาตรฐาน” – ไม่รู้ใครคุมเกม?
ข้อวิจารณ์ที่สำคัญจากผู้นำกัมพูชาคือ ความไม่สอดคล้องกันระหว่างรัฐบาลไทยกับกองทัพไทย โดยเฉพาะการที่ฝ่ายการเมืองไทย (รวมถึงนายกรัฐมนตรี) เรียกร้องให้มีการเจรจาทวิภาคี เพื่อกลับสู่ความสัมพันธ์ชายแดนตามปกติ แต่ในขณะเดียวกัน กองทัพไทยยังคงดำเนินมาตรการปิดด่านฝ่ายเดียว
“ฝ่ายหนึ่งขอเปิดด่าน อีกฝ่ายยังปิดต่อเนื่องแบบไม่มีเหตุผลชัดเจน เราไม่รู้ว่านี่คือยุทธศาสตร์ของไทย หรือเป็นความไม่ลงรอยกันภายในกันแน่” – ฮุน มาเนต โพสต์อย่างเผ็ดร้อน
ผู้นำกัมพูชายังเน้นย้ำถึงความแตกต่างของระบบภายใน โดยยกตัวอย่างว่า “ถ้าในกัมพูชา นายกรัฐมนตรีมีคำสั่ง ทุกหน่วยงานรวมถึงกองทัพก็ต้องทำตามทันที” และวิจารณ์ไทยว่าไม่มีเอกภาพในการบริหารจัดการชายแดน
ปิดชายแดน = ปิดโอกาสเศรษฐกิจท้องถิ่น?
การปิดด่านชายแดนไม่ใช่แค่เรื่องของความมั่นคงหรือการเมืองเท่านั้น แต่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อวิถีชีวิตของประชาชนที่อาศัยอยู่สองฝั่งชายแดน ทั้งพ่อค้า แม่ค้า แรงงาน และชาวบ้านทั่วไปที่พึ่งพาเส้นทางการข้ามแดนเพื่อค้าขายและทำงานในแต่ละวัน
โดยเฉพาะในช่วงหลังโควิด-19 ที่เศรษฐกิจเพิ่งเริ่มฟื้นตัว การปิดด่านแบบกะทันหันไม่เพียงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจระดับฐานราก แต่ยังอาจบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนต่อรัฐทั้งสองประเทศ
ไทยยังนิ่งเงียบ – ยังไร้คำชี้แจงอย่างเป็นทางการ
จนถึงขณะนี้ (วันที่ 22 มิถุนายน 2025) ฝ่ายไทยยังไม่มีคำแถลงอย่างเป็นทางการใด ๆ เกี่ยวกับกรณีการปิดด่านช่องสายตะกู หรือคำสั่งของกัมพูชาที่สั่งปิดด่านชายแดนฝั่งตนเองตอบโต้ 2 จุด ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่าการตัดสินใจฝ่ายเดียวของกองทัพไทย อาจสร้างปัญหาระยะยาวต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
“เขมรอยู่กับเราเสมอ” หรือเพียงวาทกรรม?
หนึ่งในข้อความที่ปรากฏในโพสต์ของฮุน มาเนล ซึ่งถูกพูดถึงอย่างมากในโซเชียลคือคำว่า“เขมรอยู่กับเราเสมอ”
ซึ่งอาจฟังดูเป็นมิตร แต่ก็สะท้อนถึงอารมณ์ประชดประชันและไม่พอใจในพฤติกรรมของฝั่งไทย ที่ดำเนินการปิดด่านฝ่ายเดียว และมองว่าเป็นการ “โทษกัมพูชา” อยู่ร่ำไป ทั้งที่กัมพูชาเองไม่เคยต้องการสร้างความลำบากให้ประชาชนทั้งสองประเทศเลยแม้แต่น้อย
ไฟชายแดนลุกอีกครั้ง ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาระอุ
วิกฤตชายแดนครั้งนี้เป็นมากกว่าแค่การปิดประตู แต่สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของความสัมพันธ์ทวิภาคี ที่ยังไม่มีความเชื่อมั่นอย่างแท้จริงต่อกัน และที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือการขาดความชัดเจนของจุดยืนและกลยุทธ์จากฝั่งไทยที่อาจทำให้คู่เจรจารู้สึกสับสนและไม่มั่นใจ
การแก้ปัญหานี้อาจไม่ต้องถึงขั้นเจรจาอย่างเป็นทางการ หากฝ่ายไทยมีความ “ชัดเจน” และ “จริงใจ” ตามที่กัมพูชาเรียกร้อง แต่หากยังคงนิ่งเงียบ และปล่อยให้คำสั่งปิดด่านเป็นเครื่องมือทางการเมืองหรือความมั่นคงฝ่ายเดียว การตอบโต้จากกัมพูชาก็อาจมีมากกว่านี้ และยากจะแก้คืนในอนาคตอันใกล้





















