ปชป. ร้าวลึก! 'บัญญัติ' ถอนตัวไม่ร่วมรัฐบาล 'แพทองธาร' ส่อเค้าระเบิดภายใน
ปชป. เข้าสู่จุดเปราะบาง? “บัญญัติ บรรทัดฐาน” ร่อนสารเรียกร้องพรรคถอนตัวจากรัฐบาลแพทองธาร ย้ำถึงเวลาฟื้นฟูอุดมการณ์และศรัทธาจากประชาชน
สถานการณ์ทางการเมืองไทยกำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้นอีกครั้ง โดยเฉพาะเมื่อ “พรรคประชาธิปัตย์” ซึ่งเป็นหนึ่งในพรรคการเมืองเก่าแก่ที่สุดของประเทศ ตกอยู่ในภาวะสั่นคลอนจากภายใน หลังคณะกรรมการบริหารพรรคมีมติให้เข้าร่วมรัฐบาลกับ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากทั้งฝ่ายประชาชนและอดีตผู้นำในพรรคเอง
ล่าสุดเกิดแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ เมื่อ “นายบัญญัติ บรรทัดฐาน” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ และอดีตหัวหน้าพรรค ได้เผยแพร่แถลงการณ์แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่า ไม่เห็นด้วยกับการเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย พร้อมทั้งเรียกร้องให้พรรคถอนตัวโดยเร็ว เพื่อรักษาอุดมการณ์ของพรรคที่มีมายาวนานกว่า 7 ทศวรรษ และเพื่อฟื้นฟูความศรัทธาของประชาชนที่กำลังลดน้อยลงอย่างต่อเนื่อง
แถลงการณ์ของ “บัญญัติ” ที่สะท้อนความขัดแย้งภายในพรรค
นายบัญญัติ เปิดเผยว่า ตนไม่ได้เข้าร่วมประชุมในวันลงมติดังกล่าว เพราะเป็นการประชุมเฉพาะของคณะกรรมการบริหารพรรคเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับ ส.ส. หรือสมาชิกพรรคคนอื่น ๆ แต่เมื่อมีการเผยแพร่รายชื่อกรรมการบริหาร 7 คนที่ลงมติ “ไม่เห็นด้วย” กลับไม่มีชื่อของเขา รวมถึง นายชวน หลีกภัย และ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ทำให้สมาชิกบางกลุ่มเข้าใจผิดว่าทั้งสามเห็นด้วยกับการร่วมรัฐบาลกับแพทองธาร ซึ่งไม่เป็นความจริง
นายบัญญัติได้ชี้แจงว่า ทั้งเขา นายชวน และนายจุรินทร์ มีจุดยืนตรงกันอย่างชัดเจนว่า “ไม่เห็นด้วย” กับมติของคณะกรรมการบริหารพรรค และได้แสดงความเห็นในลักษณะนี้มาตั้งแต่ก่อนหน้าที่จะมีการประชุมแล้ว
เขาเน้นว่า การอยู่ร่วมรัฐบาลในสถานการณ์ปัจจุบัน ไม่อาจสร้างประโยชน์ที่แท้จริงให้กับพรรคประชาธิปัตย์ได้ และการถอนตัวน่าจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า เพราะจะทำให้พรรคมีโอกาสตั้งหลักใหม่เพื่อประเมินบทบาท และพิจารณาทิศทางที่แท้จริงของพรรคในการเมืองไทย
วิกฤตศรัทธา และภาวะผู้นำที่ถูกตั้งคำถาม
นายบัญญัติ ยังกล่าวถึงปัญหาใหญ่ที่รัฐบาลต้องเผชิญอยู่ในขณะนี้ โดยเฉพาะภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำ ความเชื่อมั่นของประชาชนที่ลดต่ำลงต่อเนื่อง และกรณีการหลุดของบทสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างนายกรัฐมนตรีกับ "เขมรเพื่อนพ่อ" ซึ่งถูกระบุว่าเป็น "พายุหมุนขนาดใหญ่" ที่ซัดสั่นความน่าเชื่อถือของผู้นำประเทศ
แม้นายกรัฐมนตรีจะอ้างในภายหลังว่าการสนทนาดังกล่าวเป็นเพียง “เทคนิคในการเจรจา” แต่จากเนื้อหาที่ถูกเปิดเผย กลับแสดงให้เห็นถึงการดำเนินการที่ เกินขอบเขตของการทูตปกติ มีการแสดงท่าทีที่อ่อนข้อเกินไปต่อประเทศเพื่อนบ้าน วิพากษ์วิจารณ์กองทัพ และแสดงความเห็นในลักษณะ “แบ่งฝักแบ่งฝ่าย” ซึ่งไม่เพียงแต่ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของผู้นำเท่านั้น แต่ยัง กระทบต่อศักดิ์ศรีของประเทศไทย ในเวทีระหว่างประเทศอีกด้วย
นายบัญญัติชี้ว่า สถานการณ์ที่ยืดเยื้อเช่นนี้ ไม่เพียงแต่จะฉุดความเชื่อมั่นของประชาชนลงไปอย่างต่อเนื่อง แต่ยังเสี่ยงต่อการ กลับเข้าสู่ความขัดแย้งและแตกแยกในสังคมไทย อีกครั้ง ซึ่งประเทศไทยเคยผ่านประสบการณ์อันเลวร้ายเช่นนี้มาแล้วในอดีต
การลาออกหรือถอนตัวจากรัฐบาล คือทางออกที่มีเกียรติ
จากสถานการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น นายบัญญัติเสนอว่า นายกรัฐมนตรีควรพิจารณาลาออก เพื่อเปิดทางให้มีการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนอย่างแท้จริง หรือไม่เช่นนั้น พรรคร่วมรัฐบาลที่ไม่เห็นด้วย ก็ควรถอนตัวออกมา เพื่อรักษาอุดมการณ์ และแสดงจุดยืนที่ชัดเจนต่อสังคม
เขาย้ำว่า การถอนตัวออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลไม่ใช่การหนีความรับผิดชอบ หากแต่เป็นการแสดงออกถึง ความกล้าหาญทางการเมือง และความซื่อสัตย์ต่ออุดมการณ์ที่พรรคประชาธิปัตย์ยึดถือมาอย่างยาวนาน พร้อมเชื่อว่าการตัดสินใจในลักษณะนี้จะช่วยให้พรรคสามารถฟื้นฟูศรัทธาที่ประชาชนเคยมี และมีโอกาสในการปรับทิศทางพรรคให้สอดคล้องกับยุคสมัยมากยิ่งขึ้น
ประชาธิปัตย์ในวันที่ “เสียงแตก” จะไปทางไหน?
การที่บุคคลระดับผู้อาวุโสของพรรคออกมาแสดงจุดยืนเช่นนี้ แสดงให้เห็นถึงแรงต้านภายในที่ไม่อาจมองข้ามได้ และอาจนำไปสู่การ แตกความเห็นภายในพรรคอย่างเป็นรูปธรรมในระยะอันใกล้ โดยเฉพาะเมื่อมีแรงกดดันจากสมาชิกพรรค ส.ส. และฐานเสียงดั้งเดิม ที่เริ่มตั้งคำถามว่า พรรคประชาธิปัตย์ยังคงรักษาแนวทางอนุรักษ์นิยมและความเป็นกลางไว้ได้จริงหรือไม่
พรรคประชาธิปัตย์เคยเป็นพรรคที่ประชาชนจำนวนมากวางใจให้เป็น “ฝ่ายตรวจสอบ” หรือ “ทางเลือกกลาง” ของการเมืองไทย แต่เมื่อพรรคเริ่มมีพฤติกรรมที่ไม่ต่างจากการประนีประนอมเพื่ออยู่ในอำนาจ กระแสสนับสนุนก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง ดังจะเห็นได้จากผลการเลือกตั้งครั้งล่าสุดที่พรรคได้คะแนนเสียงน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้อย่างชัดเจน
สถานการณ์ต่อไปจะเป็นอย่างไร?
ในขณะที่เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากภายนอกยังคงดังอย่างต่อเนื่อง การออกแถลงการณ์ของนายบัญญัตินับว่าเป็น เสียงจากภายในที่มีน้ำหนักมากที่สุดเสียงหนึ่ง และจะเป็นสิ่งที่คณะกรรมการบริหารพรรคไม่สามารถเพิกเฉยได้
หากพรรคยังดึงดันที่จะอยู่ในรัฐบาล โดยไม่ฟังเสียงสะท้อนของอดีตผู้นำและฐานเสียงเดิม อาจต้องเผชิญกับความเสื่อมศรัทธาที่ลุกลามมากขึ้นเรื่อย ๆ และส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่ออนาคตของพรรค ทั้งในการเลือกตั้งท้องถิ่นและระดับประเทศในอนาคต
ถึงเวลาตั้งหลักใหม่ของประชาธิปัตย์?
คำพูดของนายบัญญัติ บรรทัดฐาน ไม่ได้เป็นเพียงถ้อยแถลงจากอดีตผู้นำทางการเมือง แต่คือการเตือนอย่างจริงจังต่อพรรคที่เขาเคยเป็นผู้นำว่า หากยังคงเดินหน้าอยู่ในรัฐบาลที่กำลังถูกตั้งคำถามอย่างรุนแรง อาจเป็นการนำพาพรรคไปสู่จุดที่ยากจะหวนคืน
การ “ถอนตัว” อาจไม่ใช่ทางเลือกที่ง่าย แต่ในบางสถานการณ์ มันอาจเป็น “ทางรอด” เพียงไม่กี่ทางที่ยังเหลืออยู่





















