ยังไม่จบ! ดราม่า “ตั้ม ลพบุรี” ครอบครัวโต้เดือด ปมเงิน 4 ล้านใครเป็นเจ้าของกันแน่?
ปมดราม่าระอุ "ตั้ม ลพบุรี" vs ครอบครัว-อดีตภรรยา-แฟนใหม่ TikTok เงิน 4 ล้าน สครับ และนิทานตาอิน-ตาอยู่ ปมที่ลุกลามเกินกว่าจะจบลงง่าย ๆ
ดราม่าในโลกออนไลน์กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง เมื่อกรณีของ "ตั้ม ลพบุรี" หรือที่หลายคนรู้จักในฐานะอดีตสามีของ "จ๊ะโอ๋ งามพริ้ง" กลายเป็นประเด็นร้อนที่ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องชีวิตรักหรือครอบครัว แต่ลุกลามไปถึงธุรกิจ ความสัมพันธ์ในครอบครัว การเงิน และแม้กระทั่งช่อง TikTok ที่กลายเป็นสมรภูมิแสดงพลังของแต่ละฝ่าย
ล่าสุด เพจดังอย่าง "อรรถรส" ได้ออกมาเปิดเผยมุมมองจากฝั่งครอบครัวของดั้ม โดยเฉพาะคำพูดจาก "น้องสาว" และ "ลูกสาว" ที่เลือกออกมาเปิดใจต่อสาธารณะ เพื่อไขข้อสงสัยหลายประเด็นที่สังคมกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนักในเวลานี้
ปมเงิน 4 ล้าน – ของใครกันแน่?
หนึ่งในประเด็นร้อนที่สุดที่โลกโซเชียลจับตาอย่างใกล้ชิดคือเรื่อง "เงิน 4 ล้านบาท" ซึ่งเกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ และเป็นที่สงสัยกันว่าเงินจำนวนนี้เป็นของใครกันแน่? ฝั่งครอบครัวของตั้ม หรือของอดีตภรรยา?
ทางฝั่งครอบครัวของดั้มออกมาชี้แจงว่า เงินก้อนนี้เป็นเงินที่ "อยู่ในระบบของครอบครัว" และตลอดเวลาที่ผ่านมา แม่ของดั้มคือผู้ดูแลการเงินให้เสมอ โดยมีเหตุผลว่า "กลัวตั้มจะหมดตัวกับผู้หญิง" เนื่องจากเคยเกิดกรณีลักษณะเดียวกันในอดีตมาแล้ว
การที่เงินไม่ได้อยู่ในมือของตั้มเอง ไม่ได้หมายความว่าครอบครัวหน้าเงิน หรือพยายามควบคุมตั้มเกินไป แต่เป็นการป้องกันปัญหาซ้ำรอยจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ซึ่งนี่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในโลกออนไลน์ว่า ครอบครัวกีดกันความรักหรือไม่ยอมรับแฟนใหม่
จุดแตกหักเริ่มต้นจากการ "เลือก" แทนครอบครัว
เรื่องราวเริ่มบานปลายเมื่อตั้มเริ่มมีความสัมพันธ์กับหญิงสาวชื่อ "ทราย" และตัดสินใจออกจากบ้านไปสร้างชีวิตใหม่ โดยมีคำพูดที่ถูกอ้างจากครอบครัวว่า
“ให้แม่กับลูกทำไปเลย เดี๋ยวจะไปสร้างแบรนด์ใหม่กับแฟนใหม่เอง”
ซึ่งนั่นกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความไม่พอใจจากทางบ้าน ที่รู้สึกว่าตั้ม "ทอดทิ้งครอบครัว" ในขณะที่ลูกยังต้องเรียนหนังสือ แม่ยังดูแลกิจการอยู่ และตัวเขาเองกลับไปโฟกัสกับชีวิตใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้น
ด้านทรายเองก็มีคำพูดที่ถูกยกมาว่า
“เอาแต่พ่อมา เดี๋ยวเลี้ยงเอง”
กลายเป็นประเด็นที่ชาวเน็ตจำนวนไม่น้อยวิจารณ์ว่า ความสัมพันธ์ที่เริ่มต้นด้วยความหุนหันพลันแล่นเช่นนี้ อาจไม่มั่นคง และทำร้ายคนในครอบครัวมากเกินไป
TikTok – จุดชนวนใหม่ในโลกดิจิทัล
อีกหนึ่งประเด็นที่ถูกหยิบยกมาพูดถึงคือ "ช่อง TikTok" ซึ่งเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มที่ดั้มใช้สร้างรายได้ และมีผู้ติดตามจำนวนมาก ฝั่งลูกสาวออกมาเปิดเผยว่า
“จริง ๆ ช่องนั้นตนเป็นคนสร้าง และเมื่อคืนพ่อยกช่องให้ลูกโดยสมัครใจ ไม่ใช่เราไปยึดช่องเขามา”
สิ่งนี้ทำให้ชาวเน็ตเริ่มมีมุมมองใหม่ว่า เรื่องราวระหว่างพ่อกับลูกอาจไม่ได้รุนแรงหรือเต็มไปด้วยการแย่งชิงอย่างที่ถูกเข้าใจผิด และการที่พ่อยอมยกช่องให้ลูกโดยสมัครใจ อาจเป็นการยอมรับในบางส่วนว่า "ครอบครัวเดิม" ยังมีความสำคัญ
นิทานตาอิน-ตาอยู่ – เรื่องสมมุติที่ตีแผ่ชีวิตจริง?
ความร้อนแรงของเรื่องนี้ไม่ได้หยุดเพียงแค่ประเด็นในชีวิตจริง แต่ลุกลามไปสู่การ "เล่าเรื่องผ่านนิทาน" บน TikTok ของ "พลอย" ญาติฝั่งตั้ม โดยมีการเล่านิทานแนว "นิทานสอนใจ" ผ่านตัวละคร "ตาอิน-ตาอยู่" ที่ชาวเน็ตแปลความได้ไม่ยากว่า หมายถึงใคร
Ep.1 – เล่าถึงตาอินที่มีครอบครัวดีอยู่แล้ว แต่ตัดสินใจคุยกับตาอยู่เพียง 7 วัน ก่อนจะพัฒนาความสัมพันธ์อย่างรวดเร็วและทิ้งครอบครัวเก่า
Ep.2 – ตีแผ่ชีวิตในอดีตของตาอยู่ ที่เคยเป็นมือที่สามของครอบครัวอื่น เคยอ้างว่ามีฐานะดี แต่ชักจูงครอบครัวใหม่ให้กู้เงิน โอนทรัพย์สิน และใช้ทรัพย์สินโดยไม่ต้องใช้ชื่อของตัวเอง
เนื้อหาในนิทานถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่า "เสียดสี" ชีวิตของตั้มและทรายแบบตรง ๆ และอาจเป็นการสื่อสารจากฝั่งครอบครัวที่รู้สึกว่า “พูดตรง ๆ ไม่ได้” จึงเลือกเล่าแบบนิทาน
มุมของแต่ละฝ่าย – ต่างมีเหตุผลของตัวเอง
จากมุมมองของแต่ละฝ่าย เห็นได้ชัดว่าทุกคนมีเหตุผลของตัวเอง และอาจไม่มีใคร "ผิดทั้งหมดหรือถูกทั้งหมด"
ฝั่งตั้ม ต้องการเริ่มต้นชีวิตใหม่กับคนที่รัก โดยอาจมองว่าอดีตภรรยาและครอบครัวไม่เข้าใจเขา
ฝั่งครอบครัวและลูกสาว มองว่าตั้มทิ้งความรับผิดชอบเดิมไปให้คนอื่น และตอนมีปัญหาก็กลับมาหาครอบครัวเพื่อให้ช่วยแก้ปัญหา
ฝั่งทราย (แฟนใหม่) แม้จะยังไม่ออกมาพูดโดยตรง แต่ก็ถูกสังคมเพ่งเล็งในเรื่องความโปร่งใสของทรัพย์สินและบทบาทในการแยกครอบครัว
บทสรุปที่ยังไม่ลงตัว
ในขณะนี้ ดูเหมือนว่าดราม่าดังกล่าวจะยังไม่จบง่าย ๆ เพราะทั้งครอบครัวเก่า แฟนใหม่ และตัวดั้มเอง ต่างยังไม่สามารถหาจุดร่วมที่พอดีได้ การออกมาเปิดเผยข้อมูลของลูกสาวและน้องสาว ถือเป็นการส่งสัญญาณว่า ฝั่งครอบครัว "ไม่เงียบ" และพร้อมจะพูดความจริงในมุมของตัวเอง
หากเรื่องนี้ยังไม่มีการเคลียร์กันอย่างตรงไปตรงมา และยังมีการสื่อสารผ่านโซเชียลเป็นหลัก ก็อาจทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวร้าวลึกเกินจะสมาน และกระทบต่อภาพลักษณ์ของทุกฝ่ายไปอีกนาน
สิ่งที่สังคมควรตั้งคำถาม
1. ความรับผิดชอบในครอบครัว ควรถูกปล่อยวางง่าย ๆ เพียงเพราะมีรักใหม่หรือไม่?
2. การสื่อสารผ่านโซเชียล มีผลดีหรือผลเสียมากกว่ากัน?
3. คนรอบข้างมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นหรือควรนิ่งเฉยต่อความสัมพันธ์ส่วนตัวของผู้อื่น?
4. ทรัพย์สินและเงินควรอยู่ในมือใคร? เพื่อความปลอดภัยหรือความเชื่อใจ?
ทั้งหมดนี้ยังคงเป็นคำถามที่ยังไม่มีคำตอบตายตัว แต่แน่นอนว่า เรื่องของครอบครัวเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและ "อารมณ์" ไม่ควรมาอยู่เหนือ "เหตุผล"




















