ช็อก! นักข่าวดังเผยผลประชุม JBC ไทยแพ้กัมพูชาขาดลอย!? ทุกมิติของการสื่อสาร
🇹🇭🇰🇭 “ไทยแพ้ทางข่าวสาร” กับบทเรียนจากเวที JBC ที่พนมเปญ – แยม ฐปณีย์ เล่าชัด ไทยเสียเปรียบกัมพูชาทุกมิติของการสื่อสาร
“ด้วยความเคารพ” – ประโยคเปิดหัวของผู้สื่อข่าวหญิงคนเก่ง “แยม ฐปณีย์ เอียดศรีไชย” ที่กลายเป็นทั้งคำเตือน และคำสะท้อนใจจากการปฏิบัติภารกิจข่าวบนเวทีประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Commission - JBC) ไทย-กัมพูชา ที่กรุงพนมเปญ เมื่อวันที่ 14-15 มิถุนายนที่ผ่านมา
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจากการรายงานข่าวของแยม กลับไม่ใช่แค่เพียงเนื้อหาจากการประชุม JBC หากแต่คือ “บทเรียนครั้งใหญ่” ด้านการสื่อสารที่ฝ่ายไทยดูจะเสียเปรียบกัมพูชาไปทุกกระบวนท่า ไม่ว่าจะเป็นการให้ข่าว การแถลง ท่าที และแม้กระทั่งการเข้าถึงข้อมูลต่อสาธารณะ ซึ่งส่งผลให้ข่าวสารที่เผยแพร่ออกไปหลังการประชุมกลับกลายเป็นฝ่ายกัมพูชาที่ถือไพ่เหนือกว่าไทยอย่างชัดเจน
📌 การประชุม JBC กับข้อพิพาทชายแดนที่อ่อนไหว
การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม หรือ JBC ครั้งนี้ ถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งในระดับภูมิรัฐศาสตร์ เนื่องจากมีการหยิบยก “4 ประเด็นข้อพิพาทเขตแดน” ระหว่างไทย-กัมพูชาขึ้นมาหารือ ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและส่งผลต่อความมั่นคงชายแดน และอาจลุกลามเป็นปัญหาทางเศรษฐกิจและความมั่นคงในระดับภูมิภาคหากไม่สามารถตกลงกันได้อย่างราบรื่น
แต่แล้ว แยม ฐปณีย์ ได้โพสต์เล่าผ่านเฟซบุ๊กอย่างตรงไปตรงมา ว่าฝ่ายไทยกลับเสียเปรียบในแง่ของ “สงครามข่าวสาร” (information war) อย่างน่าใจหาย
🎙️ ฝ่ายกัมพูชาเตรียมการสื่อสารอย่างเหนือชั้น
ก่อนวันประชุมจริง แม้จะมีนักข่าวไทยเดินทางไปทำข่าวเพียง 4 สำนัก ได้แก่ The Reporters, ThaiPBS, Thairath TV และช่องข่าว 3 มิติของแยมเอง แต่ทางฝั่งกัมพูชากลับมีนักข่าวท้องถิ่นจำนวนมาก และมีการจัดเตรียมการแถลงข่าวไว้เป็นระบบรัดกุม
ในวันประชุม 14 มิ.ย. ช่วงเช้า ยังไม่ทันที่ประชุม JBC จะเริ่ม ฝ่ายกัมพูชานำโดยนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ก็จัดการ “ชิงพื้นที่สื่อ” ด้วยการแถลงข่าวประกาศอย่างเป็นทางการว่า “จะส่ง 4 ข้อพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชาเข้าสู่การพิจารณาของศาลโลก” ซึ่งกลายเป็นการสื่อสารเชิงรุกแบบเหนือชั้น และทันทีที่ฝ่ายไทยประชุมเสร็จ ฝ่ายกัมพูชาก็ออก press release โดยสรุปผลประชุมพร้อมเนื้อหาสาระเชิงรุกอีกครั้งในเวลา 14.45 น.
ในขณะที่ฝ่ายไทย กลับไม่มีการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเลยแม้แต่น้อยตั้งแต่ก่อนเริ่มการประชุม ไม่มีใครในคณะ JBC ของไทยตอบคำถามนักข่าว บางคนถึงกับเดินหนีเมื่อถูกถาม ต่อมาเอกสารแถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศก็ถูกเผยแพร่ช้าถึง 22.30 น. และเป็นเพียงเนื้อหาสั้นๆ ว่า “บรรยากาศดี” พร้อมสัญญาว่าจะหารือกันต่อไป
📉 เสียเปรียบตั้งแต่สนามข่าว จนถึงเวทีระหว่างประเทศ
สิ่งที่แยมชี้ชัดในโพสต์คือ ฝ่ายไทยพ่ายแพ้ “ทางข่าวสาร” ไปอย่างสิ้นเชิง ทั้งในแง่ของ:
ความโปร่งใส: นักข่าวไทยไม่มีโอกาสเข้าถึงเนื้อหาการประชุมใด ๆ ต้องรอข่าวจากฝ่ายกัมพูชา
ความรวดเร็ว: ฝ่ายกัมพูชาแถลงข่าวอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วกว่าไทยทุกระยะ
การควบคุม Narrative: เมื่อฝ่ายกัมพูชาชิงเปิดเผย “แผนที่ 1:200,000” ที่ฝ่ายไทยไม่ยอมรับ พร้อมย้ำว่าจะไม่หารือเรื่องนี้กับไทยใน JBC อีก กลายเป็นการตีกรอบทางการสื่อสารที่ฝ่ายไทยไม่สามารถโต้ตอบได้ทัน
แยมยังเล่าว่า แม้เธอพยายามจะเข้าถึงผู้แทนฝ่ายไทย เช่น ท่านทูตประศาสน์ ประธาน JBC ฝ่ายไทย ก็ไม่ได้รับคำตอบใด ๆ เพราะ “มีนโยบายไม่ให้สัมภาษณ์” แม้จะรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยดำรงตำแหน่งทูตไทยประจำพนมเปญในช่วงปี 2551-2554 ก็ตาม
🛑 ไม่มีแถลงการณ์ร่วม สะท้อนรอยร้าวที่ยังไม่จบ
แม้การประชุมจะจบลงด้วยภาพถ่ายจับมือกันอย่างเป็นมิตรระหว่างคณะผู้แทนทั้งสองประเทศ แต่ “ไม่มีแถลงการณ์ร่วม” ซึ่งเป็นสัญญาณเชิงลบว่า ทั้งสองฝ่ายยังไม่สามารถตกลงกันได้ในหลายประเด็น
โดยเฉพาะเรื่อง “บันทึกข้อตกลงร่วม” (Agreement Minutes) ที่ต้องใช้เวลาถกกันถึง 6 ชั่วโมง ก่อนจะลงนามตอนบ่ายสองโมง และไม่มีการเปิดเผยเนื้อหาอย่างเป็นทางการให้สื่อได้รับทราบ
ในขณะที่นักข่าวกัมพูชาสามารถเข้าถึงข้อมูลบางส่วนก่อนและหลังประชุม และยังได้รับคำสัมภาษณ์จากเจ้าหน้าที่ระดับสูง เช่น นายฟ้า เจีย รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งให้สัมภาษณ์สั้น ๆ ว่า “บรรยากาศดี” แต่ยืนยันว่า “สิ่งที่ฝ่ายไทยแถลงก่อนหน้านั้น เป็นเพียงความเห็นฝ่ายเดียว”
🇹🇭 คำเตือนจากนักข่าวหญิง: อย่าปล่อยให้แพ้ศึกข่าวสารอีก
แยม ฐปณีย์ สะท้อนในโพสต์ว่า ที่เล่าทั้งหมดไม่ใช่เพื่อประณามใคร แต่เพื่อหวังให้ฝ่ายไทย “ปรับปรุง” กลไกการสื่อสารกับสื่อมวลชนให้ทันต่อสถานการณ์โลกยุคปัจจุบัน เพราะเมื่อการประชุม JBC อาจเดินไปถึงระดับ “ศาลโลก” หรือแม้แต่เวที “UN” ข่าวสารที่สื่อไปถึงสาธารณะจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนและพันธมิตรระหว่างประเทศ
เธอย้ำว่า “นักข่าวไทยก็รักชาติ” และพร้อมจะรายงานข่าวที่เป็นประโยชน์กับประเทศ ขอแค่เปิดโอกาสให้เข้าถึงข้อมูลได้อย่างโปร่งใส มีความร่วมมือ และตระหนักถึงบทบาทของ “สื่อ” ว่าไม่ได้มาเพื่อดิสเครดิตฝ่ายไทย แต่เพื่อ “รายงานความจริง”
📍 บทสรุป: JBC ไม่ใช่แค่เรื่องของคณะกรรมการ แต่คือเรื่องของ “อธิปไตย”
จากกรณีนี้ สะท้อนให้เห็นชัดว่า “การสื่อสาร” คือเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการต่อสู้ทางการทูต โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่มีข้อพิพาทเขตแดนและแนวโน้มที่จะยกระดับสู่เวทีโลก หากฝ่ายไทยไม่เร่งปรับกระบวนการสื่อสารโดยเฉพาะในระดับระหว่างประเทศ ก็อาจเสียเปรียบทั้งในเชิงทูตและการรับรู้ของประชาคมโลก
เพราะในโลกยุคข่าวสาร ความเงียบก็เท่ากับความพ่ายแพ้
ด้วยความเคารพ – ขอให้ฝ่ายไทยใช้บทเรียนจากเวที JBC ครั้งนี้เป็น “จุดเปลี่ยน” เพื่อฟื้นคืนความมั่นใจ และไม่ปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามควบคุม narrative ต่อไป













