สะเทือนทั้งวงการ! “โดม ปกรณ์ ลัม” โพสต์เดือด ศึกนอกยังพอไหว แต่ไส้ศึกนี่สิ…เจ็บสุด!
โดม ปกรณ์ ลัม เคลื่อนไหวกลางกระแสร้อน โพสต์เดือดสะเทือนโซเชียล “ศึกนอกไม่เท่าไส้ศึก” จุดประเด็นร้อนการเมือง-สังคม สะท้อนใจคนไทยทั้งประเทศ
กลายเป็นอีกหนึ่งแรงสะเทือนที่ส่งแรงกระเพื่อมอย่างรวดเร็วไปทั่วทั้งวงการบันเทิงและสังคมโซเชียล เมื่อ “โดม ปกรณ์ ลัม” ศิลปิน-นักแสดงชื่อดังเจ้าของฉายา “หล่อขั้นเทพ” ที่คนไทยคุ้นเคยกันดี ออกมาโพสต์แสดงความเห็นอย่างดุเดือดผ่านโซเชียลมีเดียส่วนตัว ท่ามกลางกระแสข่าวการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ที่กำลังเป็นประเด็นถกเถียงในสังคมไทยอย่างกว้างขวาง
โดยเฉพาะกรณีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและประเทศกัมพูชา ที่ในช่วงเวลานี้ถูกจับตามองอย่างเข้มข้นทั้งจากภาคประชาชน นักวิชาการ นักเคลื่อนไหว และสื่อมวลชน การเคลื่อนไหวของ “หนุ่มโดม” ในครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่เพียงการแสดงความรู้สึกส่วนตัว แต่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการตั้งคำถามทางสังคมและการเมืองที่ลุกลามออกไปไกลกว่าที่คาด
โพสต์เดียวสะเทือนทั้งประเทศ
ข้อความสั้นแต่เฉียบคมของโดมที่ว่า:
“ศึกนอกไม่เท่าไหร่ แต่ศึกในนี่น่าห่วง ลืมกันแล้วหรือว่า...เราเสียกรุงศรีอยุธยา เพราะไส้ศึกเปิดประตูเมืองให้พม่าเข้ามา”
ถือเป็นการพาดพิงเชิงประวัติศาสตร์ที่ชวนให้ขนลุก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบัน ซึ่งหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า โพสต์ของเขานั้นสื่อถึง “ศึกภายใน” อันหมายถึงความขัดแย้ง การหักหลัง หรือการทรยศกันเองภายในชาติ มากกว่าศัตรูภายนอกที่ผู้คนให้ความสำคัญอยู่ในขณะนี้
ข้อความดังกล่าวจึงกลายเป็นหัวข้อสนทนาในทุกแพลตฟอร์ม ทั้ง X (Twitter), Facebook, TikTok และ Instagram โดยเฉพาะในหมู่คนรุ่นใหม่และกลุ่มที่ติดตามข่าวสารบ้านเมืองอย่างใกล้ชิด ซึ่งส่วนใหญ่ต่างแสดงความชื่นชมในความกล้าหาญของโดมในการออกมาแสดงจุดยืนโดยไม่กลัวผลกระทบ แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ได้ระบุชัดเจนว่า "ศึกใน" ที่พูดถึงนั้นหมายถึงใครหรือฝ่ายใดโดยตรง
การเมืองกับคนบันเทิง: พื้นที่ที่กำลังเปลี่ยนไป
ปรากฏการณ์ที่คนในวงการบันเทิงออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองในช่วงหลังไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ก็ยังคงสร้างแรงสั่นสะเทือนอยู่เสมอ โดยเฉพาะเมื่อคนดังที่มีอิทธิพลในระดับประเทศอย่าง “โดม ปกรณ์ ลัม” ออกมาโพสต์ในท่าทีที่เข้มข้นและชัดเจนเช่นนี้ ยิ่งตอกย้ำว่า พรมแดนระหว่างบันเทิงกับการเมืองเริ่มจางลงเรื่อยๆ
ในอดีต คนบันเทิงจำนวนไม่น้อยเลือกที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับประเด็นการเมือง ด้วยเกรงว่าจะเสียฐานแฟนคลับหรือโดนแบนจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว ปัจจุบัน “ความกล้า” ที่จะออกมาพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชาติบ้านเมือง กลายเป็น “เครดิต” สำคัญที่ทำให้บุคคลนั้นๆ ได้รับความเคารพจากประชาชน
โดม ปกรณ์ ลัม ไม่ใช่ศิลปินคนแรกที่ออกมาแสดงจุดยืน และแน่นอนว่าเขาจะไม่ใช่คนสุดท้าย แต่สิ่งที่เขาทำในครั้งนี้ได้จุดประกายให้หลายคนเริ่มตั้งคำถาม และกล้าที่จะมองความเป็นไปของบ้านเมืองอย่างลึกซึ้งมากขึ้น
แฟนคลับแห่แชร์-คนดังร่วมแสดงความคิดเห็น
หลังโพสต์ของโดมถูกเผยแพร่ออกไป มีผู้เข้ามาแสดงความเห็นและแชร์ต่อในวงกว้าง บางความคิดเห็นมองว่า สิ่งที่โดมพูดคือ “ความจริงที่คนไทยควรตระหนัก” ว่าปัญหาใหญ่ไม่ได้อยู่แค่ศัตรูภายนอก แต่คือความแตกแยก ความไม่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และการห้ำหั่นกันเองภายในประเทศ
ในขณะที่อีกฝ่ายก็แสดงความเป็นห่วงว่า การพูดในลักษณะนี้อาจกลายเป็นการสร้างความแตกแยก หรือถูกตีความในทางการเมืองได้หลายแบบ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่อ่อนไหวอย่างในตอนนี้ ที่ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านยังอยู่ในช่วงของการเจรจาต่อรองและมีการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลจากหลายฝ่าย
ความหมายของ "ไส้ศึก" และบทเรียนจากอดีต
หนึ่งในวรรคทองที่สร้างแรงกระเพื่อมมากที่สุดจากโพสต์ของโดมก็คือ “ไส้ศึกเปิดประตูเมือง” ซึ่งเป็นประโยคที่ย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ไทยที่เจ็บปวดที่สุดครั้งหนึ่ง นั่นคือการเสียกรุงศรีอยุธยาให้แก่พม่าในปี พ.ศ. 2310 ที่ว่ากันว่ามีไส้ศึกในเมืองเป็นต้นเหตุของการล่มสลาย
คำว่า “ไส้ศึก” จึงไม่ใช่คำที่พูดขึ้นมาลอยๆ หากแต่เป็นการสื่อสารเชิงสัญลักษณ์ที่บาดลึก สะท้อนความกลัวของคนไทยในปัจจุบันที่ไม่แน่ใจว่า ภายในประเทศกำลังมีใครบางคนเปิดประตูเมืองให้ภัยคุกคามเข้ามาหรือไม่
สังคมไทยในภาวะเปราะบาง
โพสต์ของโดมยังเป็นกระจกสะท้อนสภาพสังคมไทยในปัจจุบันได้อย่างชัดเจน ว่าเรากำลังเผชิญกับ “ศึกใน” ที่รุนแรงไม่แพ้ศึกจากภายนอก ความขัดแย้งทางการเมือง ความเหลื่อมล้ำ การขาดเอกภาพ และความไม่โปร่งใสในหลายๆ ด้าน ทำให้ประชาชนเริ่มรู้สึกสิ้นหวังและหมดศรัทธาต่อโครงสร้างหลักของประเทศ
เมื่อคนบันเทิงอย่างโดมที่อยู่ในพื้นที่กลางของสังคมยังออกมาพูดเช่นนี้ ก็ยิ่งตอกย้ำว่า ความอึดอัดและความกดดันทางสังคมได้ทะลักมาถึงจุดที่ไม่สามารถเงียบเฉยได้อีกต่อไป
โดม ปกรณ์ ลัม กับบทบาทใหม่ของ “กระบอกเสียงสังคม”
แม้จะยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัดว่า โพสต์ของโดมนั้นสื่อถึงใครหรืออะไรโดยตรง แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ เขาได้เปิดประตูให้สังคมได้พูดคุย ตั้งคำถาม และทบทวนความจริงบางประการที่อาจถูกมองข้ามไปนานเกินไป
ในยุคที่สื่อมวลชนบางส่วนไม่สามารถทำหน้าที่ได้เต็มที่ การที่บุคคลที่มีอิทธิพลทางสังคมลุกขึ้นมา “พูดในสิ่งที่ต้องพูด” อาจเป็นสิ่งที่ประเทศนี้ต้องการมากที่สุดในเวลานี้
โดม ปกรณ์ ลัม จึงไม่ใช่แค่ศิลปินอีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็นหนึ่งในเสียงสำคัญของสังคมไทย ที่ยืนอยู่ตรงกลางระหว่างเสียงดนตรีและเสียงของประชาชน












