ลีน่าจังเดือด! บุกชายแดน ด่า ‘นาย ฮ.’ ไม่ไว้หน้า ชาวเน็ตถามควรหรือไม่?
"ลีน่าจัง" เดือดกลางโซเชียล! พ่นวาทะรุนแรงพาดพิงผู้นำกัมพูชา จุดกระแสดราม่าระอุโซเชียลไทย-เขมร ควรหรือไม่กับ Hate Speech ยุคนี้?
กลายเป็นหนึ่งในประเด็นร้อนแรงที่สุดบนโลกโซเชียลไทยทันที เมื่อ "ลีน่าจัง" หรือ ลีนา จังจรรจา นักเคลื่อนไหวทางสังคมชื่อดัง และยูทูบเบอร์สายแรงที่ขึ้นชื่อเรื่องการแสดงออกอย่างไร้กรอบ ได้ออกมาโพสต์คลิปวิดีโอความยาวหลายนาที แสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรงต่อสถานการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้านอย่าง "กัมพูชา"
ในคลิปดังกล่าว ลีน่าจังได้กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ที่กำลังถูกจับตามองจากทั้งสองประเทศ โดยเธอได้แสดงท่าทางและใช้ถ้อยคำที่หยาบคาย ดุดัน และพาดพิงถึงผู้นำประเทศเพื่อนบ้านในเชิงลบและไม่ไว้หน้า จนทำให้คลิปถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก และกลายเป็นไวรัลอย่างรวดเร็ว
ประเด็นละเอียดอ่อน กลับถูกพูดถึงด้วยอารมณ์
แม้จะมีผู้สนับสนุนจำนวนหนึ่งที่มองว่าลีน่าจังเป็น "เสียงของประชาชน" ที่กล้าแสดงออกในสิ่งที่หลายคนไม่กล้าพูด ทว่ากระแสในอีกด้านกลับเต็มไปด้วยคำตำหนิและคำถามถึงความเหมาะสมของการแสดงออก โดยเฉพาะเมื่อเนื้อหามีการพาดพิงถึงผู้นำประเทศอื่นอย่างโจ่งแจ้ง และใช้ถ้อยคำที่อาจเข้าข่าย วาจาแห่งความเกลียดชัง (Hate Speech)
หลายฝ่ายได้ออกมาแสดงความเห็นว่า ในขณะที่สถานการณ์ระหว่างประเทศยังอยู่ในจุดเปราะบาง การที่บุคคลสาธารณะอย่างลีน่าจังออกมาแสดงท่าทีและคำพูดที่รุนแรงเช่นนี้ อาจไม่ใช่แค่ "การแสดงความเห็น" แบบส่วนตัวอีกต่อไป แต่คือการ ส่งแรงสั่นสะเทือนทางสังคม ที่มีผลกระทบในวงกว้าง ทั้งในแง่ของภาพลักษณ์ของประชาชนไทย และความสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่อรัฐ
กระแสตีกลับ! โซเชียลตั้งคำถามถึง "ความรับผิดชอบ" ของผู้มีอิทธิพลในโลกออนไลน์
ในยุคที่โซเชียลมีเดียทรงอิทธิพลอย่างมากต่อการรับรู้ข่าวสารของประชาชน การที่บุคคลหนึ่งมีผู้ติดตามหลักแสนหรือหลักล้าน ก็เท่ากับมี "อำนาจสื่อสารมหาศาล" ที่สามารถปลุกกระแสหรือสร้างทัศนคติใหม่ให้ผู้ชมจำนวนมากได้อย่างรวดเร็ว
สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ การใช้พื้นที่สื่อเหล่านี้ในการปลุกปั่นหรือกล่าวถ้อยคำที่อาจก่อให้เกิดความเกลียดชังระหว่างชนชาติ ซึ่งอาจนำไปสู่ความรุนแรงทางวาจาและความขัดแย้งที่ขยายวงกว้างเกินควบคุม
หลายคนจึงตั้งคำถามถึง "ความรับผิดชอบ" ของลีน่าจังในฐานะคนสาธารณะว่า ควรจะมี กรอบจริยธรรมในการแสดงความเห็น หรือไม่ โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ "ความมั่นคงของประเทศ" และ "มิตรภาพระหว่างชาติพันธมิตร"
ถ้อยคำที่เกินเลย = วาทะเกลียดชัง?
การใช้คำหยาบคายอย่างเปิดเผยในการพูดถึงบุคคลระดับชาติของประเทศอื่นในช่วงที่มีข้อพิพาทหรือข้อขัดแย้ง เป็นสิ่งที่หลายประเทศถือว่า อ่อนไหวและสุ่มเสี่ยงต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ในบางกรณี การแสดงออกแบบนี้อาจเข้าข่าย Hate Speech ซึ่งหมายถึงการพูดจาโจมตีหรือดูหมิ่นคนหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งด้วยเหตุผลด้านเชื้อชาติ ศาสนา สัญชาติ หรือเพศ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความรุนแรงหรือความเกลียดชังในหมู่ประชาชนได้
แม้ประเทศไทยจะยังไม่มีบทบัญญัติกฎหมายที่ระบุโทษของ Hate Speech อย่างชัดเจนเหมือนในบางประเทศ เช่น เยอรมนี หรือแคนาดา แต่การแสดงออกลักษณะนี้ในที่สาธารณะ โดยเฉพาะจากบุคคลมีชื่อเสียง ย่อมสร้างแรงกระเพื่อมที่อาจก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี
สื่อและผู้เสพสื่อ ต้องมีวุฒิภาวะร่วมกัน
จากกรณีนี้ ทำให้เกิดคำถามต่อสังคมโดยรวมว่า "เรากำลังเสพสื่ออย่างไร?" และ "สื่อแบบไหนที่ควรสนับสนุน?"
หลายฝ่ายมองว่า เราไม่สามารถโทษลีน่าจังฝ่ายเดียวได้ เพราะหากสังคมยังคงสนับสนุนคอนเทนต์ที่ดราม่า ดุดัน หรือรุนแรง เพื่อเรียกยอดวิว การกระทำเช่นนี้ก็จะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก
ถึงเวลาแล้วหรือไม่ที่ ทั้งผู้ผลิตและผู้เสพสื่อควรยกระดับวุฒิภาวะ ในการนำเสนอและรับข้อมูลข่าวสาร โดยเฉพาะเมื่อมันอาจส่งผลถึงความมั่นคงของประเทศ หรือเสถียรภาพระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน
เส้นแบ่งบางๆ ระหว่างเสรีภาพกับความเหมาะสม
ไม่มีใครปฏิเสธว่า เสรีภาพในการแสดงความเห็นคือหนึ่งในสิทธิพื้นฐานของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย แต่ในขณะเดียวกันเสรีภาพนั้นก็ไม่ได้หมายความว่า "จะพูดอะไรก็ได้โดยไม่รับผิดชอบ"
สิ่งที่เกิดขึ้นกับลีน่าจังอาจเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า การแสดงออกอย่างไร้กรอบ แม้จะเป็นเรื่องส่วนตัว ก็สามารถลุกลามกลายเป็นปัญหาสาธารณะ และสร้างผลกระทบที่ไม่คาดคิดตามมาได้
บทเรียนจากคลิปวิดีโอเดือด
ในท้ายที่สุด กรณี "ลีน่าจังพาดพิงผู้นำกัมพูชา" คือกระจกสะท้อนความเปราะบางของยุคโซเชียลมีเดีย ที่ความคิดส่วนตัวสามารถกลายเป็นปรากฏการณ์ระดับประเทศได้เพียงในเวลาไม่กี่นาที
สิ่งที่ควรเกิดขึ้นจากกรณีนี้คือ บทเรียนสำหรับผู้สร้างคอนเทนต์ และผู้ใช้งานโซเชียลทุกคน ว่าการพูดหรือการโพสต์อะไรในพื้นที่สาธารณะ ย่อมมีน้ำหนักและผลกระทบมากกว่าที่เราคิด
นอกจากนี้ ประเด็นนี้ยังควรกระตุ้นให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและองค์กรภาคประชาสังคม ร่วมมือกันในการออกแบบ "แนวทางการใช้โซเชียลมีเดียอย่างมีจริยธรรม" โดยเฉพาะสำหรับบุคคลสาธารณะ ที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก
และในขณะที่สังคมรอการชี้แจงหรือคำขอโทษจากลีน่าจัง ก็คงต้องจับตาดูกันต่อไปว่า กรณีนี้จะลุกลามจนกลายเป็นประเด็นทางการทูตหรือไม่ หรือจะเป็นเพียงกระแสดราม่าร้อนแรงที่ผ่านไปอีกระลอกหนึ่งในโลกโซเชียล
ไม่ว่าคำตอบจะเป็นเช่นไร "คำพูด" ของคนๆ หนึ่ง กำลังสร้างแรงสะเทือนให้กับภาพลักษณ์ของประเทศทั้งประเทศอยู่ในขณะนี้...














