ศึกบนเวทีโลก! กัมพูชายื่นจดหมายทางการถึงศาลโลก ปมพื้นที่พิพาทชายแดนไทย
ฮุน มาเนต ประกาศยื่น ICJ ขอความยุติธรรม! กัมพูชาส่งเรื่องอย่างเป็นทางการ ขอชี้ขาดข้อพิพาท "ปราสาทตาเมือน-สามเหลี่ยมมรกต" ย้อนรอยเงาอดีตคดีเขาพระวิหาร
เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2568 โลกการเมืองระหว่างประเทศต้องจับตาอีกครั้ง เมื่อ นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีของประเทศกัมพูชา ได้โพสต์ข้อความอย่างเป็นทางการผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ประกาศการยื่นเรื่องต่อ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice: ICJ) เพื่อขอให้พิจารณาและชี้ขาดกรณีข้อพิพาทดินแดนระหว่างกัมพูชากับประเทศไทย ซึ่งครอบคลุมพื้นที่สำคัญได้แก่ ปราสาทตาเมือนธม, ปราสาทตาเมือนโต๊ด, ปราสาทตาควาย และบริเวณสามเหลี่ยมมรกต
จุดเริ่มต้นของข้อพิพาทที่ยืดเยื้อ
พื้นที่ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นตั้งอยู่บริเวณแนวชายแดนระหว่างจังหวัดสุรินทร์-ศรีสะเกษของประเทศไทย กับจังหวัดอุดรมีชัยและพระวิหารของกัมพูชา โดยเฉพาะ "สามปราสาทตาเมือน" นั้น อยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ซึ่งมีประวัติศาสตร์ร่วมกันมายาวนานนับพันปีจากยุคขอมเรืองอำนาจ และเป็นที่รู้จักจากงานสถาปัตยกรรมศิลปะเขมรแบบบาปวน
แม้ประเทศไทยจะดูแลพื้นที่เหล่านี้มายาวนานในทางปฏิบัติ แต่ทางกัมพูชาก็อ้างสิทธิ์ว่าพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตแดนของตน โดยอ้างอิงแผนที่และหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เช่นเดียวกับกรณี “คดีปราสาทพระวิหาร” ที่เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษ 2500
ย้อนไป 63 ปี: บทเรียนจาก "คดีปราสาทพระวิหาร"
ฮุน มาเนต เชื่อมโยงเหตุการณ์ปัจจุบันกับวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2505 ซึ่งเป็นวันที่ศาลโลก (ICJ) ได้มีคำพิพากษาในคดี ปราสาทพระวิหาร ให้ตกเป็นของกัมพูชา โดยใช้แผนที่ 1:200,000 ซึ่งจัดทำโดยคณะกรรมการฝรั่งเศส-สยามในอดีต เป็นหลักฐานสำคัญ แม้ว่าในทางภูมิศาสตร์แล้วปราสาทจะอยู่ในระดับที่เชิงเขาสูงของฝั่งไทยก็ตาม
คำพิพากษาครั้งนั้นสร้างความไม่พอใจในสังคมไทยอย่างลึกซึ้ง จนเกิดกระแสต่อต้านและนำไปสู่การตัดความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-กัมพูชาในเวลานั้น และแม้หลายทศวรรษจะผ่านไป ปราสาทพระวิหารก็ยังคงเป็นสัญลักษณ์ของข้อพิพาทระหว่างสองประเทศ
กัมพูชายื่น ICJ รอบใหม่ – เสียงสะท้อนแห่งสันติภาพ หรือแรงกดดันทางการเมือง?
จากโพสต์ของฮุน มาเนต ครั้งนี้ เขาเน้นว่า กัมพูชาต้องการเพียง “ความยุติธรรม” และ “ความชัดเจน” ในการแบ่งเขตแดน เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อคนรุ่นหลังในอนาคต เขาระบุว่าการใช้กลไกทางกฎหมายระหว่างประเทศผ่าน ICJ นั้น เป็นหนทางสันติวิธี ซึ่งดีกว่าการปะทะกันด้วยอาวุธหรือความขัดแย้งทวิภาคี
ฮุน มาเนต ยังกล่าวอีกว่า บริเวณดินแดนพิพาทนี้มีความซับซ้อนสูง ทั้งในเชิงกฎหมาย ประวัติศาสตร์ และการครอบครองโดยพฤตินัย และปัญหานี้ยืดเยื้อมานานหลายทศวรรษ โดยกลไกทวิภาคีไม่สามารถคลี่คลายความขัดแย้งได้อย่างยั่งยืน จึงจำเป็นต้องพึ่งพา ICJ อีกครั้งเพื่อให้มีคำตัดสินเป็นกลางตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ
ท่าทีของไทยยังไม่ชัด – แต่อาจกลายเป็นประเด็นร้อน
จนถึงขณะนี้ รัฐบาลไทยยังไม่มีท่าทีตอบกลับอย่างเป็นทางการต่อคำประกาศของกัมพูชา แต่แหล่งข่าวจากกระทรวงการต่างประเทศของไทยเผยว่า การยื่นคำร้องต่อ ICJ เป็นสิทธิของแต่ละประเทศตามกฎหมายระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม การที่ศาลจะพิจารณาคดีได้ จะต้องได้รับความยินยอมจากทั้งสองฝ่าย
หากประเทศไทยไม่ยินยอมให้ศาล ICJ มีอำนาจพิจารณาคดีนี้ ก็อาจทำให้ศาลไม่สามารถดำเนินการพิจารณาได้ เว้นแต่จะเป็นการ “ขอคำวินิจฉัย” (Advisory Opinion) แทน ซึ่งไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายแบบคำพิพากษาในกรณีพิพาทโดยตรง
ประเด็นความมั่นคง และผลกระทบทางสังคม-การเมือง
ไม่เพียงแต่ประเด็นทางกฎหมายเท่านั้น การยื่นเรื่องครั้งนี้ยังอาจมีผลกระทบทางการเมืองทั้งภายในและภายนอกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นในแง่ความสัมพันธ์ทวิภาคี, การทหารตามแนวชายแดน, หรือแม้แต่ความรู้สึกของประชาชนที่มีความอ่อนไหวต่อประเด็นดินแดน
ประชาชนในพื้นที่ชายแดนโดยเฉพาะจังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับชาวกัมพูชาในด้านวัฒนธรรม วิถีชีวิต และเชื้อชาติ ก็อาจได้รับผลกระทบทางจิตใจหรือความวิตกกังวล หากปัญหานี้ยืดเยื้อหรือถูกกระพือด้วยกระแสชาตินิยม
มองอนาคต – ICJ จะชี้ทางสันติภาพได้จริงหรือ?
แม้จะมีคำพูดอันหนักแน่นจากผู้นำกัมพูชาเกี่ยวกับสันติภาพและหลักนิติธรรม แต่ประวัติศาสตร์ก็เคยบอกเราว่า “การยื่นเรื่องต่อศาลโลก” อาจนำมาซึ่งความขัดแย้งใหม่ได้ หากอีกฝ่ายไม่ยอมรับ หรือมีการตีความคำตัดสินแตกต่างกัน
ประสบการณ์จากกรณีเขาพระวิหาร บ่งบอกว่า แม้ ICJ จะมีคำพิพากษา แต่ปัญหาในพื้นที่ยังคงเกิดซ้ำ ทั้งในปี 2551 และ 2553 ที่เคยมีการปะทะกันจนมีผู้เสียชีวิตหลายราย ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชุมชน ชีวิตผู้คน และเศรษฐกิจชายแดนอย่างใหญ่หลวง
ภารกิจของฮุน มาเนต และบททดสอบใหม่ของความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา
การประกาศของฮุน มาเนต ในวันที่ 15 มิถุนายน 2568 จึงไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของ “หนังสือยื่นฟ้อง” ต่อ ICJ เท่านั้น แต่มันคือหมากตัวใหม่ที่กัมพูชาเลือกเดินในเกมภูมิรัฐศาสตร์ที่เต็มไปด้วยความซับซ้อน
คำถามใหญ่ที่หลายคนรอคำตอบ คือ รัฐบาลไทยจะเดินหมากอย่างไร? จะเลือกเผชิญหน้า ตอบโต้อย่างแข็งกร้าว หรือจะใช้โอกาสนี้พูดคุยด้วยเหตุผลตามหลักการทางการทูตอย่างระมัดระวัง?
ไม่ว่าจะเป็นทางใด ผลลัพธ์ของคดีนี้จะกลายเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญของภูมิภาค และจะถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปอีกนาน










