กองทัพไทยโชว์หลักฐานเด็ด! ภาพถ่ายทางอากาศยันชัด “ช่องบก” อยู่ในไทย
เปิดหลักฐานเด็ด! คลิปภาพถ่ายทางอากาศยืนยันชัด "ช่องบก" คือเขตแดนไทย – กองทัพไทยโต้กลับกัมพูชา ปมปะทะชายแดน
จากเหตุการณ์ความตึงเครียดบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ณ พื้นที่ "ช่องบก" อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ซึ่งนำไปสู่เหตุปะทะระหว่างกำลังทหารทั้งสองฝ่าย ล่าสุด กองบัญชาการกองทัพไทย ได้เผยแพร่หลักฐานสำคัญผ่านคลิปวิดีโอความยาว 1.28 นาที แสดงภาพถ่ายทางอากาศที่ยืนยันได้อย่างชัดเจนว่า จุดที่เกิดการปะทะนั้นอยู่ภายในเขตแดนประเทศไทย
การเปิดเผยครั้งนี้ถือเป็นความเคลื่อนไหวที่สำคัญในความพยายามของฝ่ายไทยในการชี้แจงข้อเท็จจริงและปกป้องอธิปไตยของประเทศจากการอ้างสิทธิ์ของกัมพูชา ซึ่งอ้างว่า "ช่องบก" เป็นพื้นที่ทับซ้อนตามแผนที่เก่าที่แนบท้ายสนธิสัญญาสมัยฝรั่งเศสเข้ามามีบทบาทในภูมิภาคนี้
เบื้องหลังความขัดแย้ง: ปมแผนที่ 1:200,000 กับแผนที่ 1:50,000
ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมีจุดเริ่มต้นจากความไม่ลงรอยกันเรื่องการตีความเขตแดน โดยฝ่ายกัมพูชาอ้างอิงแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งเป็นแผนที่ที่แนบท้ายมากับสนธิสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1907 แผนที่ฉบับดังกล่าวเป็นผลงานของฝ่ายฝรั่งเศสในยุคล่าอาณานิคม โดยมีวัตถุประสงค์ทางภูมิรัฐศาสตร์มากกว่าความแม่นยำด้านภูมิศาสตร์ ทำให้ขาดรายละเอียดที่ชัดเจนในเรื่องแนวเส้นเขตแดนตามหลัก "สันปันน้ำ" ซึ่งเป็นหลักสากลในการแบ่งเขตประเทศที่มีภูเขาหรือภูมิประเทศสูงต่ำ
ขณะที่ประเทศไทยยืนยันว่า แผนที่ที่ใช้ในปัจจุบันมีความแม่นยำและทันสมัยกว่ามาก โดยอ้างอิงจากแผนที่มาตราส่วน 1:50,000 ซึ่งเป็นแผนที่ในชุด L7018 ที่จัดทำโดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ มีการสำรวจโดยตรงบนพื้นที่จริง และผ่านการตรวจสอบซ้ำหลายครั้งจากข้อมูลภูมิประเทศดาวเทียมและภาพถ่ายทางอากาศ นอกจากนี้ ยังมีการใช้ข้อมูลจากระบบภูมิสารสนเทศร่วมด้วย ซึ่งสามารถแสดงแนวเส้นเขตแดนได้อย่างแม่นยำในระดับเมตริก
คลิปเด็ดจากกองทัพไทย: ภาพถ่ายทางอากาศยืนยัน "ช่องบก" อยู่ในไทยแน่นอน
เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา กองบัญชาการกองทัพไทยได้แถลงผ่านสื่อมวลชน พร้อมเผยแพร่คลิปวิดีโอหลักฐานสำคัญ ภายในคลิปแสดงให้เห็นภาพถ่ายทางอากาศที่ถ่ายจากโดรนทางทหาร ความคมชัดระดับสูง แสดงแนวป่าภูเขาและลักษณะภูมิประเทศบริเวณช่องบกได้อย่างชัดเจน โดยมีการระบุตำแหน่งพิกัดและแนวเส้นแบ่งเขตที่อ้างอิงจากแผนที่ 1:50,000 ของประเทศไทย พร้อมทั้งเน้นย้ำว่า จุดปะทะเมื่อวันที่ 28 พ.ค. นั้นอยู่ห่างจากแนวชายแดนตามที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างหลายร้อยเมตร และอยู่ในอาณาเขตของไทยอย่างไม่มีข้อสงสัย
เจ้าหน้าที่กองทัพไทยยังชี้แจงเพิ่มเติมว่า ภาพถ่ายทางอากาศนี้ได้รับการรับรองโดยผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิศาสตร์และแผนที่ของหน่วยงานภายในกองทัพ อีกทั้งยังได้มีการนำข้อมูลไปตรวจสอบร่วมกับกรมแผนที่ทหาร เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือของหลักฐานดังกล่าว
การเคลื่อนไหวของรัฐบาลและการทูต
หลังเกิดเหตุปะทะ กระทรวงการต่างประเทศของไทยได้ส่งหนังสือประท้วงไปยังกัมพูชาในทันที พร้อมเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายเคารพต่อข้อตกลงในการหลีกเลี่ยงการใช้กำลังในพื้นที่ชายแดน และเสนอให้จัดตั้งคณะกรรมการร่วมไทย-กัมพูชา เพื่อดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงและกำหนดแนวทางการป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก
นายกรัฐมนตรีไทยได้แถลงต่อสื่อมวลชนว่า "ประเทศไทยยึดมั่นในหลักการไม่ใช้ความรุนแรงในการแก้ไขข้อพิพาท และเราพร้อมจะเจรจาอย่างสร้างสรรค์เพื่อหาทางออกอย่างสันติ แต่ในขณะเดียวกัน เราจะไม่ยอมให้ใครล่วงละเมิดอธิปไตยของไทยอย่างเด็ดขาด"
เสียงสะท้อนจากประชาชนและนักวิเคราะห์
ในโลกโซเชียล มีการแชร์คลิปของกองทัพไทยอย่างแพร่หลาย หลายคนรู้สึกภาคภูมิใจที่กองทัพไทยสามารถแสดงหลักฐานอย่างชัดเจนเพื่อปกป้องแผ่นดิน ขณะที่นักวิชาการด้านความมั่นคงและประวัติศาสตร์ได้ออกมาให้ความเห็นว่า กรณีนี้ตอกย้ำความสำคัญของการมีข้อมูลภูมิศาสตร์ที่ทันสมัย และการเตรียมพร้อมด้านการทูตระหว่างประเทศ
ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์ธนากร นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ มองว่า “กรณีช่องบกนี้ เป็นภาพสะท้อนของปัญหาชายแดนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ยังคงมีแผลเป็นจากยุคล่าอาณานิคม การใช้แผนที่เก่าในศตวรรษที่ 20 มาอ้างสิทธิ์ในศตวรรษที่ 21 จึงมีความเสี่ยงต่อความขัดแย้งเสมอ หากไม่มีการเจรจาอย่างจริงจังและเคารพหลักสากล”
ประเทศไทยยืนหยัดอย่างมั่นคง พร้อมพิสูจน์ความจริงด้วยหลักฐาน
เหตุการณ์ปะทะบริเวณช่องบกเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา อาจเป็นเพียงหนึ่งในเหตุการณ์ความขัดแย้งเล็กๆ แต่สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของปัญหาเขตแดนในภูมิภาคนี้ได้อย่างลึกซึ้ง การที่กองบัญชาการกองทัพไทยออกมาเปิดเผยภาพถ่ายทางอากาศ และชี้แจงอย่างละเอียดถึงความถูกต้องของแผนที่ที่ใช้ ย่อมทำให้ประชาชนมั่นใจในบทบาทของกองทัพในการปกป้องอธิปไตยของชาติ
ประเทศไทยพร้อมจะเดินหน้าในเวทีระหว่างประเทศด้วยความสงบ สุขุม และมั่นใจในความชอบธรรมของตน ขณะเดียวกัน การเฝ้าระวังและเตรียมความพร้อมของหน่วยงานความมั่นคงยังคงมีความจำเป็น เพื่อไม่ให้สถานการณ์ลุกลามกลายเป็นข้อขัดแย้งระดับชาติที่กระทบต่อประชาชนทั้งสองประเทศ















