เดือดไม่ไว้หน้า! แทค ภรัณยู ฟาดแรง “อยากแบนแต่ไม่มีอะไรให้แบน!”
กลายเป็นประเด็นร้อนแรงข้ามแดน ที่กำลังสะเทือนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา เมื่อปมปัญหาชายแดนที่เกี่ยวพันกับการปราบปรามขบวนการคอลเซ็นเตอร์ ส่อเค้าร้าวลึกถึงระดับผู้นำประเทศ โดยล่าสุด พล.อ.ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้ออกมาประกาศผ่านเฟซบุ๊กอย่างชัดเจนว่า กัมพูชาจะ หยุดซื้ออินเทอร์เน็ตและไฟฟ้าจากประเทศไทย และพร้อม แบนละคร-ภาพยนตร์ไทย โดยจะให้ความสำคัญกับ เนื้อหาทางวัฒนธรรมภายในประเทศตนเองเท่านั้น
มาตรการตอบโต้ที่พลิกเกมการทูตแบบไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้าครั้งนี้ สร้างแรงสะเทือนทั้งในเชิงเศรษฐกิจ ความมั่นคง และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จนทำให้ชาวโซเชียลไทยจำนวนมากรู้สึกไม่พอใจ และบางส่วนถึงกับเดือดดาล โดยเฉพาะในโลกโซเชียลที่ต่างแสดงความเห็นในเชิงประชดประชันและตั้งคำถามกลับไปถึงฝั่งกัมพูชาว่า “แล้วกัมพูชามีอะไรให้ไทยแบนบ้าง?”
จุดเริ่มต้น: ปมคอลเซ็นเตอร์ข้ามแดนและการประกาศตัดเน็ตของไทย
ปัญหานี้เริ่มต้นจากการที่ฝั่งไทยพยายามกวาดล้างขบวนการคอลเซ็นเตอร์ซึ่งมีฐานอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน และพบว่ามีหลายกลุ่มเชื่อมโยงกับพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ทำให้มีแนวคิดจากฝั่งไทยว่าจะ ดำเนินมาตรการขั้นเด็ดขาด อาทิ การตัดไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ตในบางพื้นที่ หากไม่สามารถเจรจาให้เกิดความร่วมมือได้
แต่ก่อนที่ฝ่ายไทยจะดำเนินการจริง พล.อ.ฮุน มาเนต กลับออกมาชิงตัดหน้าด้วยถ้อยคำอันดุดัน โดยโพสต์เฟซบุ๊กประกาศ หยุดพึ่งพาอินเทอร์เน็ตและไฟฟ้าจากประเทศไทย และยืนยันว่ากัมพูชามีศักยภาพในการจัดหาทั้งสองอย่างได้เอง 100%
นอกจากนี้ยังมีคำสั่ง ห้ามฉายละครและภาพยนตร์จากประเทศไทย บนสื่อในประเทศกัมพูชาอีกด้วย ซึ่งถือเป็นการ “ตัดขาดทางวัฒนธรรม” แบบไม่ทันตั้งตัว โดยให้เหตุผลว่า ควรส่งเสริมอุตสาหกรรมบันเทิงของชาติ และลดอิทธิพลจากต่างประเทศ
แทค ภรัณยู เดือดแทนคนไทย! สวนกลับตรงประเด็น "ประเทศมึงไม่มีอะไรให้แบน"
หนึ่งในคนบันเทิงไทยที่ออกมาเคลื่อนไหวถึงประเด็นนี้ คือ "แทค ภรัณยู โรจนวุฒิธรรม" นักแสดงและพิธีกรชื่อดังที่มักมีท่าทีตรงไปตรงมาและไม่กลัวดราม่า โดยเจ้าตัวโพสต์ผ่านเฟซบุ๊กอย่างเผ็ดร้อนว่า:
“กูก็อยากจะแบนประเทศมึงบ้าง แต่ประเทศมึงไม่มีอะไรให้แบน นอกจากแก๊งคอลฯ 😅 นึกไม่ออกว่ะมีอะไรบ้าง 🤣”
พร้อมกับคอมเมนต์เพิ่มเติมที่แสบสันไม่แพ้กัน: “มีอะไรให้แบนวะ.. ละคร หนัง รายการ สินค้า อาหาร การท่องเที่ยว 🤷♂️ เกมส์ ROV มึงยังไม่มีอย่ามาเก่ง, คนของมึงยังมารักษาโรงบาลกูเลย, นึกอะไรอะไรของเขมร คนเล่นของ”
โพสต์นี้กลายเป็นไวรัลอย่างรวดเร็ว ได้รับทั้งเสียงชื่นชมและเสียงหัวเราะจากชาวเน็ตไทยจำนวนมาก พร้อมตั้งคำถามกลับถึงฝั่งกัมพูชาในเชิงประชดว่า “วัฒนธรรมกัมพูชามีอะไรโดดเด่นพอให้ไทยรู้จักหรือแบนกลับ?”
วิเคราะห์ผลกระทบและคำถามถึงอนาคต
แม้หลายคนจะมองว่าการ “แบนหนังไทย” หรือ “ตัดเน็ตไทย” ดูเป็นเรื่องไร้สาระในยุคโลกาภิวัตน์ แต่ในทางการทูต มันสะท้อนถึงการตัดสัมพันธ์ทางจิตวิญญาณ และความไม่ไว้วางใจในเชิงยุทธศาสตร์อย่างชัดเจน
1. ด้านเศรษฐกิจ:
การหยุดซื้ออินเทอร์เน็ตจากไทยอาจกระทบผู้ประกอบการไทยที่ส่งออก bandwidth ไปกัมพูชา
แต่ในภาพรวม การที่กัมพูชา "ประกาศหยุดซื้อ" อาจไม่ได้ส่งผลมหาศาลต่อ GDP ไทย เพราะกัมพูชายังมีขนาดเศรษฐกิจที่เล็ก และมีคู่ค้าหลักคือจีนและเวียดนามมากกว่าไทยในหลายหมวดสินค้า
2. ด้านวัฒนธรรม:
ละครไทยเป็นที่นิยมในกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา, ลาว, เมียนมา, เวียดนาม) การแบนละครไทยอาจทำให้ผู้ชมกัมพูชาบางส่วนไม่พอใจ
ขณะเดียวกัน ก็อาจเป็นโอกาสให้กัมพูชาเร่งพัฒนาวงการภาพยนตร์ของตนเอง แต่คำถามคือ “พร้อมจริงหรือ?”
3. ด้านความมั่นคง:
หากปัญหาขบวนการคอลเซ็นเตอร์ยังไม่ถูกแก้ไขจริง ฝ่ายไทยอาจพิจารณาตัดระบบสนับสนุนในพื้นที่ชายแดนบางจุด ซึ่งจะส่งผลต่อความร่วมมือชายแดนในระยะยาว
กัมพูชากับความพยายามแสดง “อธิปไตย”
การออกมาประกาศของฮุน มาเนต ไม่เพียงแต่เป็นการตอบโต้ไทยเท่านั้น แต่ยังเป็น “การแสดงความเป็นผู้นำที่แข็งแกร่ง” ให้ประชาชนกัมพูชาเห็นว่า รัฐบาลของเขาสามารถพึ่งพาตนเองได้ ไม่จำเป็นต้องง้อประเทศเพื่อนบ้าน หรืออยู่ใต้เงาของไทยอีกต่อไป
แต่คำถามคือ การแสดงออกเชิงอธิปไตยนั้น จะทำได้ยั่งยืนแค่ไหน? เพราะในความเป็นจริง โครงสร้างพลังงานของกัมพูชายังต้องพึ่งพาไฟฟ้าจากไทยและลาวเป็นระยะ รวมถึงอินเทอร์เน็ตหลักยังมาจากโครงข่ายผ่านประเทศไทย
ไทยควรรับมืออย่างไร?
รัฐบาลไทยต้องรักษาสมดุลระหว่าง “ความมั่นคง” และ “การทูตแบบนุ่มนวล” เพื่อไม่ให้ความขัดแย้งนี้บานปลายไปสู่ระดับที่กระทบภาพลักษณ์ระดับอาเซียน
โดยเฉพาะในยุคที่ไทยเป็นหนึ่งในสมาชิกอาเซียนที่มีบทบาทเชิงรุก การขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านย่อมไม่เป็นผลดี ไม่ว่าจะในเวทีเศรษฐกิจหรือเวทีความร่วมมือด้านความมั่นคง
ละครยังไม่จบ อย่าเพิ่งลุกจากเก้าอี้
ประเด็นศึกน้ำลายนี้คงจะยังไม่จบง่าย ๆ เพราะมีทั้งมิติการเมือง เศรษฐกิจ ความมั่นคง และวัฒนธรรมซ้อนอยู่ภายใน แถมยังมีแรงผลักจากโลกโซเชียลที่ตอกย้ำความรู้สึกของผู้คนทั้งสองประเทศ
สุดท้ายนี้ คำพูดของ “แทค ภรัณยู” อาจจะดูแรง แต่ก็สะท้อนความรู้สึกของคนไทยจำนวนมากที่เห็นว่าการตอบโต้แบบนี้ของฝั่งกัมพูชานั้น เกินกว่าเหตุและขาดตรรกะในยุคโลกาภิวัตน์
โลกยุคนี้ไม่ใช่เวทีให้ใครมาเก่งใส่กันด้วยการ “แบน” หรือ “ประกาศตัดความร่วมมือ” อย่างไร้หลักการ เพราะสุดท้ายแล้ว ทุกประเทศก็ล้วนต้องพึ่งพาอาศัยกัน – ถ้าอยากก้าวหน้าอย่างยั่งยืน



