สูญเงินก้อนโต! เขมรหั่นดีลเน็ตไทย เย้ยแรง “ไทยแค่ปากดี เขมรลงมือจริง”
"เขมรเย้ย! ไทยสูญรายได้หลายร้อยล้านดอลลาร์ หลังกัมพูชาเลิกซื้ออินเทอร์เน็ต – หยัน 'ไทยพูด แต่กัมพูชาทำ' กระทบทั้งภูมิภาคจริงหรือแค่ศึกน้ำลาย?"
ความตึงเครียดระหว่างประเทศไทยและกัมพูชากลับมาเป็นประเด็นร้อนในภูมิภาคอีกครั้ง หลังจากกรณีที่รัฐบาลไทยมีท่าทีขู่ว่าจะตัดการให้บริการอินเทอร์เน็ตไปยังกัมพูชา ส่งผลให้ฝั่งกัมพูชาตัดสินใจเด็ดขาดยุติการพึ่งพาการเชื่อมต่อจากไทย และประกาศว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะทำให้ไทยต้องสูญเสียรายได้มหาศาลในระดับ "หลายร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ" ต่อปี
กรณีนี้กลายเป็นประเด็นร้อนในโลกออนไลน์และแวดวงการสื่อสารโทรคมนาคมอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเมื่อ วันเดธ เจีย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงไปรษณีย์และการสื่อสารโทรคมนาคมของกัมพูชา ได้โพสต์ข้อความผ่านบัญชีเฟซบุ๊กของตนว่า
“เพราะคำขู่ของไทยต่อกัมพูชา เราจึงตัดสินใจหยุดใช้อินเทอร์เน็ตจากไทยทันที สิ่งนี้จะทำให้ฝ่ายไทยสูญเสียรายได้มหาศาล นี่แหละคือความแตกต่าง ไทยพูด แต่กัมพูชาทำ”
ถ้อยคำดังกล่าวสร้างแรงกระเพื่อมในสังคมไทยทันที หลายฝ่ายมองว่าการตอบโต้ของกัมพูชานั้นอาจเป็นการ “โอเวอร์แอ็กต์” หรือพยายามเล่นเกมการเมือง เพื่อสร้างแรงกดดันให้ไทยถอยหลังจากท่าทีแข็งกร้าว แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีอีกหลายเสียงที่ชี้ให้เห็นถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจริง โดยเฉพาะในมิติทางเศรษฐกิจ
อินเทอร์เน็ตกับรายได้ข้ามพรมแดน: ไทยได้จริงแค่ไหน?
ปัจจุบันไทยมีบทบาทสำคัญในฐานะศูนย์กลางโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระดับภูมิภาค (Internet Hub) โดยมีการเชื่อมต่อสายเคเบิลใต้น้ำกับประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศ รวมถึงกัมพูชา ซึ่งในอดีตเคยพึ่งพาการเชื่อมโยงจากไทยเพื่อเข้าสู่โครงข่ายหลักของโลก (Global Internet Exchange)
การให้บริการอินเทอร์เน็ตข้ามพรมแดนดังกล่าวถือเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้ให้แก่ผู้ให้บริการไทยไม่น้อย แต่หากพิจารณาให้รอบด้าน รายได้หลายร้อยล้านดอลลาร์ตามที่กัมพูชาระบุอาจเป็นการพูดเกินจริง หรือสะท้อนเพียงภาพรวมของทั้งระบบ ไม่ใช่รายได้ตรงเข้าสู่ประเทศไทยเพียงฝ่ายเดียว
ศาสตราจารย์เศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยชื่อดังในกรุงเทพฯ ระบุว่า:
“แม้จะมีการให้บริการเชื่อมต่อ แต่ก็ต้องดูด้วยว่าเป็นการให้ผ่านภาคเอกชนในลักษณะ B2B หรือไม่ และรายได้สุทธิเข้าไทยจริงๆ มีเท่าไหร่ ไม่สามารถคิดเป็นตัวเลขกลม ๆ ได้แบบนั้น”
กัมพูชาพึ่งพาไทยจริงหรือ?
ข้อมูลจากรายงานของหน่วยงานกำกับดูแลด้านโทรคมนาคมของกัมพูชา ณ สิ้นปี 2567 ระบุว่าประเทศมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือมากถึง 18.2 ล้านราย และผู้ใช้อินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์แบบคงที่อีกกว่า 715,000 ราย ซึ่งรวมแล้วเพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 7.81%
ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นว่ากัมพูชากำลังเติบโตในด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล และอาจมีศักยภาพในการพัฒนาการเชื่อมต่อของตนเองผ่านเส้นทางอื่น เช่น เวียดนาม จีน หรือสายเคเบิลใต้น้ำที่เชื่อมกับสิงคโปร์โดยตรง
บางฝ่ายวิเคราะห์ว่าการประกาศ “เลิกซื้อเน็ตจากไทย” อาจเป็นเพียงการย้ายเส้นทางเชื่อมต่อ เพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ทางการเมืองมากกว่าจะส่งผลกระทบจริงในเชิงเทคนิค
ศึกน้ำลายหรือเกมการเมืองภูมิภาค?
วาทะ “ไทยพูด แต่กัมพูชาทำ” ของรัฐมนตรีกัมพูชาถูกนำไปตีความในหลายมุม ทั้งในเชิงเสียดสีรัฐบาลไทยที่มีแต่คำขู่ แต่ขาดการดำเนินการจริง และในเชิงแสดงความแข็งแกร่งของกัมพูชาที่กล้าตัดสินใจ
แต่ในอีกมุมหนึ่ง ก็น่าสนใจว่าการเคลื่อนไหวของกัมพูชานี้จะสอดรับกับทิศทางใหม่ในเชิงการต่างประเทศหรือไม่ โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับจีน ที่เป็นพันธมิตรทางยุทธศาสตร์สำคัญในปัจจุบัน ซึ่งจีนเองมีโครงการลงทุนโครงข่ายอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีในกัมพูชาเป็นจำนวนมาก
ปฏิกิริยาในไทย: หวั่นกระทบภาพลักษณ์การเป็น Internet Hub
เสียงสะท้อนในสังคมไทยมีทั้งฝั่งที่มองว่ากัมพูชา “เล่นใหญ่” เกินเหตุ และอีกฝั่งที่วิตกกังวลว่าหากมีประเทศเพื่อนบ้านรายอื่นเดินรอยตาม ก็อาจทำให้ไทยสูญเสียบทบาทการเป็น “ศูนย์กลางการเชื่อมต่อ” ในอาเซียน
ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีดิจิทัลรายหนึ่งระบุว่า:
“เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวแค่เรื่องเงิน แต่เกี่ยวกับศักดิ์ศรีและบทบาทในภูมิภาค ถ้าไทยถูกลดความสำคัญ ก็อาจมีผลในระยะยาวต่อการดึงดูดการลงทุนด้านเทคโนโลยี”
ขณะเดียวกัน ภาคเอกชนไทยบางส่วนก็เริ่มประเมินความเสี่ยงหากการให้บริการเชื่อมต่อข้ามประเทศต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนทางการเมือง หรือถูกแทรกแซงโดยรัฐ
จะจบอย่างไร? รัฐบาลไทยต้อง “พูด” หรือ “ทำ”?
ปัจจุบันรัฐบาลไทยยังไม่มีแถลงการณ์อย่างเป็นทางการต่อถ้อยคำของรัฐมนตรีกัมพูชา มีเพียงรายงานจากฝ่ายความมั่นคงว่า "กรณีตัดเน็ต" เป็นเพียงหนึ่งในมาตรการเชิงเทคนิคที่จะต้องได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานด้านความมั่นคงก่อนเท่านั้น
แต่นักวิชาการหลายคนชี้ว่า ความเงียบหรือการตอบโต้ล่าช้าอาจทำให้ประเทศไทยตกอยู่ในสถานะเสียเปรียบทางภาพลักษณ์
บางเสียงเรียกร้องให้รัฐบาลไทยเร่งสื่อสารกับสาธารณชนถึงจุดยืนและท่าทีที่ชัดเจน พร้อมส่งเสริมความมั่นใจให้กับภาคธุรกิจว่าไทยยังคงเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีที่น่าเชื่อถือของภูมิภาค
กรณีที่กัมพูชาเลิกพึ่งพาอินเทอร์เน็ตจากไทยอาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในภูมิภาค การเผชิญหน้าด้วยคำพูดอย่าง “ไทยพูด แต่กัมพูชาทำ” อาจสะท้อนถึงเกมการเมืองที่ลึกกว่าที่เห็น และไทยเองก็ต้องตั้งคำถามว่า เราจะ "พูด" อย่างเดียว หรือพร้อมจะ “ทำ” เพื่อรักษาบทบาทและผลประโยชน์ในโลกดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
'ฮุนเซน' ควันออกหู หลังลาวฉวยโอกาสขายของตัดหน้า แย่งสัมปทานจีน
พบเครื่องบิน "โบอิ้ง 737" ที่หายไป 13 ปี ถูกจอดทิ้งกลางสนามบิน
ชาว เกษตรกร เขมร กดดันไทยเปิดด่าน ควบรถไถเหยียบนาข้าวทิ้ง ราคาตกต่ำสุดขีด
ชาวนาเขมรยกมือไหว้วอนคนไทย “เปิดด่านช่วยด้วย” หลังราคาข้าวทรุดหนัก สวนทางคำพูดในอดีตที่เคยดูแคลนไทย
🔍 ถอดรหัสปี 2568! คนไทยค้นหาอะไรบน Google มากที่สุด สะท้อนภาพสังคมแห่งปี
10 อันดับเมืองที่มีมลพิษสูงสุดกรุงเทพฯ
พืชที่มีพิษร้ายแรงเทียบเท่าพิษงูเห่า
‘ดร.ธรณ์’ แนะนำ ถ้าจะย้ายที่อยู่ จังหวัดไหนเหมาะที่สุด ที่ไม่มีมลพิษของฝุ่นและภัยพิบัติทางธรรมชาติ
2569 ตรงกับเป็นปีนักษัตรอะไร สีนำโชค พร้อมปีชง
แบงก์เขมรปิด ฮุน โต! เผ่นหนี ลูกค้าถอนเงินไม่ได้
สารพิษในร่าง 'ณัฐวุฒิ ปงลังกา'! ตำรวจเร่งสอบพยาน ตรวจบ้านพักซ้ำ รอญาติจากเชียงราย
"ฮุนเซน" เงินหมด ทหาร BHQ คู่ใจทรยศ แอบซบอก "สมรังสี"
"ฮุนเซน" เงินหมด ทหาร BHQ คู่ใจทรยศ แอบซบอก "สมรังสี"
ไวรัลอีกครั้ง! “I Promise I Will Comeback” รีรันคืนจอ
ตำรวจแยกสอบ 2 เคส! “เวย์ ไทเทเนี่ยม” ถูกเหยื่อแจ้งความฉ้อโกง อ้างชื่อนักธุรกิจดังตุ๋นลงทุนหุ้นทิพย์ สูญกว่า 50 ล้าน
ตร.เผย เวย์ ไทเทเนี่ยม ใช้ชื่อนักธุรกิจดังหลอกลงทุนเทรดหุ้น สูญเงิน 50 ล้าน
นิทานเพื่อนรัก 3 คนสู่โศกนาฏกรรมปริศนา! สั่งระงับเผาศพ-พบ "ไซยาไนด์" ในร่างผู้เสียชีวิต
สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ยืนยันการชันสูตรพบสาร “ไซยาไนด์”ในกระแสเลือดและกระเพาะอาหารของ “นัทปง” ในปริมาณที่ทำให้เสียชีวิตได้ ซึ่งการเสียชีวิตไม่ได้เกิดจากการไหลตาย
ทรัพย์สินตระกูลฮุนเจอพิษ สหรัฐฯ ยึดเงินเถื่อน ดันเสี่ยงถูกออสเตรเลียเชือดซ้ำ
"ฮุนเซน" เงินหมด ทหาร BHQ คู่ใจทรยศ แอบซบอก "สมรังสี"
