เสียวแทน! หนุ่มยัดสาย USB เข้าน้องชาย หมอเตือนเสี่ยงติดเชื้อขั้นรุนแรง
อย่าหาทำ! ชายวัย 21 ปีสอดสาย USB เข้าท่อปัสสาวะเพื่อเพิ่มอารมณ์ทางเพศ หมอเตือนเสี่ยงติดเชื้อ–เสียหายถาวร
กลายเป็นกรณีที่สะเทือนวงการแพทย์และสังคมออนไลน์ไม่น้อย เมื่อเพจเฟซบุ๊ก “หมอหมู วีระศักดิ์” ซึ่งเป็นเพจของ อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว.) ได้ออกมาเผยแพร่เหตุการณ์สุดอันตรายเกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศของชายหนุ่มวัยเพียง 21 ปี ที่ตัดสินใจสอด สาย USB เข้าไปทั้งเส้นในท่อปัสสาวะของตนเอง เพื่อหวังกระตุ้นอารมณ์ทางเพศ โดยไม่ตระหนักถึงความเสี่ยงที่อาจตามมา
เหตุการณ์นี้ไม่ได้เป็นเพียงอุทาหรณ์ทางการแพทย์ แต่ยังสะท้อนถึงความไม่รู้ ความอยากลอง หรืออิทธิพลจากข้อมูลผิด ๆ บนอินเทอร์เน็ต ที่อาจทำให้คนจำนวนหนึ่งหลงเชื่อและทดลองพฤติกรรมอันตรายต่อร่างกายตนเองโดยขาดความเข้าใจพื้นฐานทางการแพทย์
จุดเริ่มต้นของเหตุการณ์: ความอยากรู้อยากลองที่จบไม่สวย
ชายหนุ่มคนดังกล่าวไม่ได้เปิดเผยตัวตนสู่สาธารณะ แต่จากรายงานของแพทย์ เขาได้สอดสาย USB ซึ่งปกติแล้วเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับชาร์จไฟหรือถ่ายโอนข้อมูล เข้าไปในท่อปัสสาวะของตัวเองทั้งเส้น โดยเชื่อว่าจะช่วยเพิ่มความรู้สึกทางเพศ
อย่างไรก็ตาม การกระทำดังกล่าวทำให้เกิด ความเสียหายต่อเนื้อเยื่อภายในของทางเดินปัสสาวะ อย่างรุนแรง ส่งผลให้ต้องรีบเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล โดยแพทย์ต้องวางยาสลบและทำการ ผ่าตัดด้วยวิธีส่องกล้อง (Endoscopic Surgery) ผ่านทางเดินปัสสาวะเพื่อดึงสาย USB ออกมา
การรักษาที่ไม่ง่าย และผลกระทบที่ไม่ควรมองข้าม
แม้ผลการรักษาในครั้งนี้จะถือว่า “โชคดี” เพราะผู้ป่วยมีเพียงแผลเล็กน้อยบริเวณท่อปัสสาวะ และไม่มีความเสียหายถาวรในระยะยาว แต่กระบวนการทางการแพทย์กลับไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลย โดยแพทย์ได้ดำเนินการดังนี้:
วางยาสลบ: เพื่อป้องกันความเจ็บปวดและลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อขณะสอดกล้องเข้าไป
ส่องกล้องทางท่อปัสสาวะ: ใช้เทคนิคการส่องกล้องเพื่อค้นหาและดึงสาย USB ออกมาอย่างปลอดภัยที่สุด
ใส่สายสวนปัสสาวะ (Foley Catheter): หลังผ่าตัด ผู้ป่วยถูกใส่สายสวนเป็นเวลา 1 สัปดาห์ เพื่อช่วยให้ท่อปัสสาวะฟื้นตัวและลดความเสี่ยงจากการอักเสบ
ให้ยาปฏิชีวนะและยาแก้ปวด: เพื่อป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ รวมถึงช่วยลดอาการเจ็บปวดในช่วงพักฟื้น
แพทย์ยังนัดติดตามอาการหลังการรักษาอีกหนึ่งเดือน และพบว่าแผลฟื้นตัวได้ดี ไม่พบความเสียหายถาวรในระบบทางเดินปัสสาวะ
หมอเตือนแรง! อย่าคิดว่านี่คือ “ความมันส์” เพราะสิ่งที่ได้อาจเป็น “ความเจ็บปวดตลอดชีวิต”
หมอหมู วีระศักดิ์ ได้ออกมาเตือนถึงกรณีนี้อย่างจริงจัง พร้อมเน้นย้ำว่า “การสอดสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในทางเดินปัสสาวะ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลทางเพศหรือไม่ก็ตาม ถือเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่ง” เพราะมีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้เกิดผลกระทบในหลายระดับ ดังนี้:
1. เสี่ยงติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ (Urinary Tract Infection – UTI)
เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในร่างกาย โดยเฉพาะอุปกรณ์ที่ไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อ อาจนำพาแบคทีเรียเข้าสู่ทางเดินปัสสาวะ ทำให้เกิดการติดเชื้อรุนแรง หากปล่อยไว้อาจลุกลามถึงไต หรือกลายเป็นภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งอาจถึงขั้นเสียชีวิต
2. ทำให้เนื้อเยื่อภายในฉีกขาดหรือเสียหาย
การสอดวัตถุที่มีขนาดหรือผิวสัมผัสไม่เหมาะสม อาจทำให้เกิดการฉีกขาดหรือถลอกภายในท่อปัสสาวะ ทำให้เจ็บปวดมาก และอาจส่งผลให้เกิดการอุดตันในอนาคต
3. เสี่ยงกระเพาะปัสสาวะแตก (Bladder Rupture)
หากสิ่งแปลกปลอมเข้าไปลึกถึงกระเพาะปัสสาวะ และเกิดแรงกดมากเกินไป อาจทำให้ผนังกระเพาะปัสสาวะแตก ต้องผ่าตัดใหญ่ และอาจเสียเลือดมากจนอันตรายถึงชีวิต
4. ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศในระยะยาว
การบาดเจ็บภายในระบบปัสสาวะอาจส่งผลกระทบต่อระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับสมรรถภาพทางเพศ และหากเกิดพังผืดหรือการตีบตันของท่อปัสสาวะ อาจทำให้เกิดภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศถาวร
พฤติกรรมทางเพศที่อันตราย: ช่องว่างทางความรู้ที่ควรถูกเติมเต็ม
เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่หลงเชื่อหรืออยากลองสิ่งแปลกใหม่จากการเสพสื่อผิด ๆ บนอินเทอร์เน็ต หรือได้รับอิทธิพลจากหนังผู้ใหญ่ที่นำเสนอเรื่องเพศในรูปแบบที่บิดเบือน จนทำให้ขาดความเข้าใจเรื่องสรีรวิทยาของร่างกาย
เรื่องเพศไม่ใช่เรื่องที่ควรปิดบังหรือห้ามพูด แต่ควรเป็นเรื่องที่สามารถพูดคุยกันได้อย่างเปิดเผยในกรอบของความเข้าใจที่ถูกต้อง โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นที่กำลังเรียนรู้และแสวงหาตัวตนของตนเอง การให้ความรู้ทางเพศที่รอบด้านและปลอดภัย (Sexual Health Education) เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง
บทสรุป: ความสุขที่แลกด้วยความเสี่ยง...คุ้มจริงหรือ?
กรณีของชายวัย 21 ปีที่สอดสาย USB เข้าท่อปัสสาวะอาจดูเหมือนเป็นเรื่องสุดโต่ง หรือไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นจริง แต่ความจริงคือ เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งทั่วโลก และมีผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจากพฤติกรรมคล้ายกัน
“อย่าหาทำ” ไม่ใช่เพียงคำเตือนบนโลกออนไลน์ แต่ควรเป็นคำเตือนในชีวิตจริงสำหรับทุกคนที่กำลังคิดจะทดลองสิ่งแปลกใหม่กับร่างกายตัวเองโดยปราศจากความรู้ ความเข้าใจ และการชั่งน้ำหนักความเสี่ยงอย่างถี่ถ้วน
หากมีความสงสัย หรือมีความต้องการทางเพศที่ไม่แน่ใจว่าปลอดภัยหรือไม่ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพทางเพศ เพื่อความปลอดภัยของตนเอง และเพื่อชีวิตทางเพศที่ยั่งยืนในระยะยาว





















