"น้ำบนโลกมาจากไหน" ปริษนาโลกแตก!??
นักวิทยาศาสตร์พยายามหาคำตอบว่า "น้ำบนโลกมาจากไหนกันแน่" เพราะโลกเป็นดาวเคราะห์เพียงดวงเดียวในระบบสุริยะที่มีน้ำในสถานะของเหลวปริมาณมหาศาล ซึ่งแตกต่างจากดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ
ที่ส่วนใหญ่แห้งแล้งหรือมีน้ำในรูปของน้ำแข็ง การศึกษาเรื่องนี้อาจนำไปสู่การไขปริศนาการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตนอกโลกได้
ย้อนกลับไปประมาณ 4,600 ล้านปีก่อน ในช่วงที่ระบบสุริยะของเรากำเนิดขึ้นจากการระเบิดของดาวฤกษ์ที่ตายแล้ว (บิ๊กแบง) สารต่าง ๆ รวมถึงธาตุไฮโดรเจน ซึ่งเป็นธาตุตั้งต้นของการเกิดน้ำ ได้กระจัดกระจายไปทั่วอวกาศ
หลังจากนั้น กลุ่มฝุ่นบางก้อนได้รวมตัวกันอยู่ตรงกลางและกลายเป็น ดวงอาทิตย์ เมื่อดวงอาทิตย์เติบโตขึ้น แรงดึงดูด คลื่นแม่เหล็ก และลมสุริยะ ได้เหวี่ยงธาตุต่างๆ ให้มีแบบแผนมากขึ้น ธาตุเบาอย่างไฮโดรเจนถูกเหวี่ยงออกไปไกลกลายเป็นดาวน้ำแข็ง เช่น ดาวยูเรนัส ดาวเนปจูน และดาวพฤหัสบดี ส่วนธาตุหนักอย่างเหล็กและซิลิกาโคจรอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์และรวมตัวกันเป็นดาวหิน เช่น ดาวพุธ ดาวศุกร์ ดาวอังคาร และโลก การเรียงตัวของดาวเคราะห์ในระบบสุริยะจึงเป็นไปตามหลักการนี้
ทฤษฎีเกี่ยวกับแหล่งที่มาของน้ำบนโลก
เดิมที นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าน้ำบนโลกไม่ได้มาจากโลกเอง แต่มาจาก ดาวหาง ที่มีไฮโดรเจนจำนวนมากพุ่งชนโลก เมื่อไฮโดรเจนจากดาวหางรวมกับออกซิเจนที่มีอยู่มากบนโลก (ออกซิเจนเป็นธาตุหนักจึงอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์) ก็เกิดเป็นน้ำ (H2O) และชั้นบรรยากาศที่หนาแน่นของโลกก็ช่วยกักเก็บน้ำไว้ไม่ให้ระเหยออกไปเหมือนดาวอังคารที่มีชั้นบรรยากาศเบาบาง
อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีนี้เริ่มถูกตั้งคำถามเมื่อมีการศึกษาโมเลกุลของน้ำอย่างละเอียด นักวิทยาศาสตร์พบว่าสัดส่วนของไฮโดรเจนในน้ำจะแตกต่างกันไปตามแหล่งที่มา หากน้ำบนโลกมาจากดาวหางจริง สัดส่วนของไฮโดรเจนในน้ำบนโลกกับน้ำบนดาวหางควรจะเหมือนกัน
เพื่อพิสูจน์ทฤษฎีนี้ นักวิทยาศาสตร์จึงส่งยานอวกาศไปเก็บตัวอย่างน้ำจาก ดาวหางฮัลเลย์ ในปี 1986 ซึ่งเป็นดาวหางที่สามารถคำนวณวงโคจรและช่วงเวลาที่จะเข้ามาใกล้โลกได้ ผลการตรวจสอบพบว่าสัดส่วนของไฮโดรเจนในดาวหางฮัลเลย์มีความหนาแน่นหรือหนักกว่าสัดส่วนของไฮโดรเจนในน้ำบนโลกอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ทฤษฎีที่ว่าน้ำทั้งหมดบนโลกมาจากดาวหางอาจไม่ถูกต้อง
ทฤษฎีใหม่!!! น้ำมาจากภายในโลกเอง
เมื่อทฤษฎีดาวหางถูกหักล้าง นักวิทยาศาสตร์ก็เริ่มมองหาคำตอบใหม่ หนึ่งในทฤษฎีที่น่าสนใจคือ น้ำอาจมีอยู่บนโลกตั้งแต่โลกกำเนิดขึ้นมาแล้ว โดยเชื่อว่าเมื่อระบบสุริยะก่อตัว ไฮโดรเจนบางส่วนอาจไม่ได้ถูกเหวี่ยงออกไปไกลทั้งหมด แต่หลงเหลือและไปเกาะกับธาตุหนักที่ต่อมากลายเป็นดาวหิน รวมถึงโลกของเราด้วย ไฮโดรเจนเหล่านี้จะฝังตัวอยู่ในหินใต้พื้นโลกในลักษณะของแข็งที่เรียกว่า "น้ำในหิน" (ไม่ใช่ลักษณะของเหลวเหมือนลูกมะพร้าว) ซึ่งเป็นไฮโดรเจนเดี่ยว (H1) ที่ยังไม่รวมกับออกซิเจน
ทฤษฎีนี้ชี้ว่าภายใต้โลกของเราอาจมีน้ำอยู่จำนวนมหาศาล และเมื่อเปลือกโลกเกิดการเคลื่อนตัว ไฮโดรเจนเหล่านี้ก็ค่อยๆ เล็ดรอดขึ้นมาบนพื้นผิวและรวมตัวกับออกซิเจนจนกลายเป็นน้ำอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน
ทฤษฎีการรับน้ำจากดาวเคราะห์ดวงอื่น
อีกทฤษฎีหนึ่งที่เสริมเข้ามาคือ โลกอาจได้รับน้ำจากดาวเคราะห์ดวงอื่น นักวิทยาศาสตร์พบว่าดาวเคราะห์น้อยและดวงจันทร์ของดาวพฤหัสบดีบางดวงมีน้ำอยู่เป็นจำนวนมาก (บางดวงมีมากกว่าโลกถึง 2 เท่า) และสัดส่วนของไฮโดรเจนก็ใกล้เคียงกับน้ำบนโลกมาก ทฤษฎีนี้จึงเสนอว่าในช่วงแรกของการก่อกำเนิดระบบสุริยะ ซึ่งยังไม่มีความเสถียร ดาวเคราะห์ต่างๆ มีการโคจรและชนกันบ่อยครั้ง กลุ่มก้อนที่มีไฮโดรเจนจำนวนมากอาจถูกเหวี่ยงมาชนโลกและเกิดการแลกเปลี่ยนไฮโดรเจนกัน
นอกจากนี้ ดาวพฤหัสบดี ซึ่งมีแรงดึงดูดมหาศาล อาจมีบทบาทสำคัญ ในช่วงแรกที่ดาวพฤหัสบดีอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มาก อาจเกิดการแย่งชิงดวงดาวบริวารกัน ทำให้วงโคจรของดวงอาทิตย์และดาวพฤหัสบดีทับซ้อนกัน และอาจมีการชนกันระหว่างดาวบริวารของทั้งสอง จนเกิดการแลกเปลี่ยนไฮโดรเจนกับโลกก่อนที่ดาวพฤหัสบดีจะถูกเหวี่ยงออกไปไกล
ปริมาณน้ำบนโลกและความสำคัญของแรงดัน
คำถามที่ตามมาคือ ในช่วงที่โลกยังร้อนจัด น้ำจะไม่ระเหยไปหมดได้อย่างไร? นักวิทยาศาสตร์อธิบายว่า ในช่วงแรกที่โลกก่อตัวขึ้นนั้น โลกมีคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมาก ซึ่งก่อให้เกิด แรงดัน สูงมาก แรงดันนี้เองที่ทำให้จุดเดือดของน้ำสูงขึ้น ไม่ใช่แค่ 100 องศาเซลเซียส แต่สามารถสูงถึง 200-300 องศาเซลเซียสได้โดยไม่ระเหยเป็นไอ (จากหลักการที่ว่าแรงดันต่ำทำให้จุดเดือดต่ำลง และแรงดันสูงทำให้จุดเดือดสูงขึ้น) ดังนั้น แม้โลกจะร้อน แต่น้ำก็ยังคงอยู่ในสภาพของเหลวร้อนๆ
เมื่อโลกเย็นตัวลง น้ำจึงปกคลุมอยู่บนพื้นผิวโลกในปริมาณเท่าเดิมมาโดยตลอด รวมถึงมีไฮโดรเจนฝังอยู่ในหินใต้พื้นโลก อย่างไรก็ตาม ไฮโดรเจนในหินจะกลายเป็นน้ำได้ต้องใช้ความร้อนสูงมาก ซึ่งเกิดขึ้นในยุคแรกที่โลกกำเนิดขึ้นมาแล้ว ดังนั้น จึงไม่ต้องกังวลว่าน้ำจะท่วมโลกจากการละลายของไฮโดรเจนในหิน
ความเชื่อมโยงกับสิ่งมีชีวิตต่างดาว
การที่น้ำมีปริมาณเท่าเดิมและอยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสมตลอดมา ทำให้เกิดสิ่งมหัศจรรย์คือ การก่อกำเนิดสิ่งมีชีวิต บนโลก สิ่งมีชีวิตยุคแรกล้วนกำเนิดมาจากสัตว์น้ำ นักวิทยาศาสตร์จึงเชื่อว่า หากเข้าใจวัฏจักรการเปลี่ยนแปลงของแร่ธาตุเป็นน้ำเหลวบนโลก จะสามารถนำระยะเวลานี้ไปคำนวณกับธาตุไฮโดรเจนบนดาวดวงอื่นได้ เพื่อประเมินโอกาสที่ดาวดวงนั้นจะมีน้ำเหลวและอาจนำไปสู่การมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตหรือมนุษย์ต่างดาวได้
แม้จะมีการศึกษามากมาย แต่ปริศนาว่าน้ำบนโลกกำเนิดขึ้นมาอย่างไรก็ยังไม่ถูกไขได้ 100% เพราะสัดส่วนของไฮโดรเจนในน้ำบนโลกแม้จะคล้ายกับดาวเคราะห์น้อยหรือดวงจันทร์ของดาวพฤหัสบดี แต่ก็ไม่เหมือนกัน 100% ซึ่งอาจเป็นเพราะน้ำบนโลกผ่านการเปลี่ยนแปลงมาหลายครั้งจากการใช้งานของสิ่งมีชีวิตต่างๆ ทำให้องค์ประกอบของไฮโดรเจนผิดเพี้ยนไปจากต้นกำเนิดเดิม
สรุปแหล่งที่มาของน้ำบนโลก
โดยสรุปแล้ว น้ำบนโลกอาจมาจากหลายแหล่งรวมกัน ได้แก่
- มีอยู่บนโลกตั้งแต่ต้นกำเนิด
- มาจากเศษดาวเคราะห์หรือดาวหางที่ปะปนมา
- ฝุ่นอวกาศที่ล่องลอยมารวมตัวกันจนกลายเป็นน้ำ












