กัมพูชาปัดพึ่งไฟไทย! รัฐมนตรีลั่นมีใช้พอ ไม่ต้องนำเข้า
กัมพูชาปฏิเสธไม่ได้พึ่งพาไฟฟ้าจากไทย – แถลงตอบโต้ไทยตัดไฟ 9 จุดชายแดน สะท้อนความสัมพันธ์พลังงานอาเซียนกำลังสั่นคลอน?
วันที่ 12 มิถุนายน 2568 ได้เกิดเหตุการณ์ที่สร้างความสนใจอย่างมากทั้งในแวดวงพลังงาน การทูต และความมั่นคงในภูมิภาคอาเซียน เมื่อเพจ “ក្រសួងព័ត៌មាន Ministry of Information” ของกัมพูชา เผยแพร่แถลงการณ์อย่างเป็นทางการของ นายแก้ว รัดนัค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเหมืองแร่และพลังงานของกัมพูชา ที่กล่าวยืนยันชัดเจนว่า "ในขณะนี้ กัมพูชาไม่ได้มีการนำเข้าไฟฟ้าจากประเทศไทยแม้แต่หน่วยเดียว" โดยให้เหตุผลว่าประเทศมีพลังงานเพียงพอต่อความต้องการภายใน
การออกแถลงการณ์ในครั้งนี้มีขึ้นท่ามกลางกระแสข่าวที่ว่าฝั่งไทยมีมาตรการ “ตัดไฟ” ที่ส่งให้กัมพูชาใน 9 จุดสำคัญตามแนวชายแดน โดยมีรายงานว่าพื้นที่เหล่านั้นส่วนใหญ่อยู่ในเขตที่ตั้งของบ่อนกาสิโนหรือแหล่งธุรกิจชายแดน ซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อขัดแย้งบางประการระหว่างไทย-กัมพูชาในช่วงที่ผ่านมา
พื้นที่ 9 จุดที่ไทยหยุดส่งไฟฟ้าให้กัมพูชา – จริงหรือ?
ข้อมูลจากเว็บไซต์ ThaiArmedForce.com ได้เปิดเผยรายละเอียดของจุดส่งไฟฟ้าที่ไทยเคยจำหน่ายให้กัมพูชา 9 จุด ได้แก่:
1. บ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว – อ.ปอยเปต จ.บันเตียเมียนเจย
2. บ้านเขาดิ้น อ.คลองหาด จ.สระแก้ว – อ.สำเภาลูน จ.พระตะบอง
3. บ้านสวนส้ม อ.สอยดาว จ.จันทบุรี – บ้านโอคิ้ว อ.ก้อมเรียง จ.พระตะบอง
4. บ้านหนองปรือ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว – อ.มาลัย จ.บันเตียเมียนเจย
5. บ้านซับตารี อ.สอยดาว จ.จันทบุรี – อ.พนมปรึก จ.พระตะบอง
6. บ้านแหลม อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี – อ.ก้อมเรียง จ.พระตะบอง
7. บ้านหาดเล็ก อ.คลองใหญ่ จ.ตราด – บ้านหาดทรายยาว จ.เกาะกง
8. อ.กาบเชิง (ช่องจอม) จ.สุรินทร์ – บ้านโอเสม็ด จ.อุดรมีชัย
9. เส้นทางเพิ่มเติมตามจุดเชื่อมต่อสายส่งชายแดนในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ
พื้นที่เหล่านี้ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับ “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” หรือ “กาสิโน” ซึ่งเป็นแหล่งรายได้สำคัญของกัมพูชา โดยมีข่าวลือว่าเหตุผลในการตัดไฟของฝั่งไทยอาจเกี่ยวพันกับความไม่ลงรอยทางการเมืองและชายแดนระหว่างสองประเทศ แม้ยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลไทย
คำตอบจากกัมพูชา: “เรามีไฟฟ้าเพียงพอแล้ว”
นายแก้ว รัดนัค เน้นย้ำว่า "ตัวเลขคือศูนย์ กัมพูชาไม่ได้พึ่งพาไฟฟ้าจากสายส่งไทยแม้แต่น้อย และเหตุผลหลักที่ไม่รับไฟฟ้าจากไทยก็เพราะเรามีกำลังการผลิตเพียงพอ" พร้อมขอร้องประชาชนชาวกัมพูชาอย่าใช้เหตุการณ์นี้เป็นเครื่องมือปลุกปั่นหรือเยาะเย้ยประเทศเพื่อนบ้าน เพราะความร่วมมือในภูมิภาคควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกัน
นอกจากนี้ นายแก้วยังยกตัวอย่างจากนานาประเทศ เช่น สหรัฐฯ ที่ยังนำเข้าไฟฟ้าจากแคนาดา หรือกลุ่มสหภาพยุโรปที่มีการเชื่อมต่อโครงข่ายพลังงาน แม้จะมีความตึงเครียดทางการเมือง เขากล่าวว่า “การเชื่อมต่อสายส่งข้ามประเทศไม่ใช่เรื่องของความอ่อนแอ แต่เป็นความร่วมมือทางพลังงานระดับภูมิภาคที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกัน”
กัมพูชามีพลังงานเพียงพอจริงหรือ?
คำถามที่หลายคนตั้งขึ้นคือ กัมพูชามีพลังงานเพียงพอจนไม่ต้องพึ่งพาไทยจริงหรือ?
จากข้อมูลของ Electricite du Cambodge (EDC) และรายงานจากองค์กรพลังงานสากล (IEA) ในปี 2024 กัมพูชามีกำลังการผลิตติดตั้งอยู่ที่ประมาณ 4,000 เมกะวัตต์ จากแหล่งพลังงานหลากหลาย อาทิ โรงไฟฟ้าถ่านหิน, โรงไฟฟ้าพลังน้ำ, พลังงานแสงอาทิตย์ และการนำเข้า (ในบางช่วงที่ผ่านมา) โดยเฉพาะเขตตะวันตกของประเทศที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงจากภาคบริการและอุตสาหกรรมชายแดน
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กัมพูชาได้ลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่หลายโครงการ เช่น โรงไฟฟ้าพลังน้ำในเขตสตึงเตรง และโรงไฟฟ้าถ่านหินในเมืองสีหนุวิลล์ รวมถึงการส่งเสริมพลังงานแสงอาทิตย์ ทำให้พึ่งพาการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศน้อยลง
อย่างไรก็ตาม ในบางพื้นที่ เช่น เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน ซึ่งมีภาคเอกชนดำเนินกิจการอย่างหนาแน่น อาจยังคงใช้ไฟฟ้าจากฝั่งไทยในรูปแบบของ “สัญญาซื้อขายตรง” โดยบริษัทไทยและบริษัทเอกชนกัมพูชา ซึ่งไม่ใช่การซื้อขายโดยตรงระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาล ดังนั้นการที่รัฐมนตรีกัมพูชากล่าวว่า “ไม่มีการนำเข้าไฟฟ้าเลย” อาจหมายถึงในระดับรัฐบาล แต่ในระดับธุรกิจท้องถิ่นอาจมีการใช้อยู่
ไฟฟ้ากับการทูต – พลังงานไม่ใช่แค่แสงสว่าง แต่เป็นอำนาจอธิปไตย?
การตัดไฟหรือหยุดส่งไฟฟ้าในพื้นที่ชายแดน อาจเป็นเพียงมาตรการทางธุรกิจหรือเทคนิคชั่วคราว แต่หากนำมาใช้ในเชิงการเมืองหรือทูต ก็อาจกลายเป็น “อาวุธทางเศรษฐกิจ” ได้โดยไม่ตั้งใจ และสร้างความตึงเครียดอย่างมากระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน
ในกรณีนี้ หากฝ่ายไทยมีความไม่พอใจเกี่ยวกับพฤติกรรมหรือท่าทีของกัมพูชาในบางประเด็น แล้วเลือกใช้มาตรการหยุดส่งไฟฟ้า อาจถูกมองว่าใช้พลังงานเป็นเครื่องมือกดดันทางการเมือง ซึ่งขัดต่อหลักการของความร่วมมือในประชาคมอาเซียน
โครงการสายส่งไฟฟ้าอาเซียน – ความฝันที่ต้องลงมือจริง
นายแก้วยังพูดถึง “โครงข่ายสายส่งไฟฟ้าอาเซียน” (ASEAN Power Grid) ซึ่งเป็นแผนความร่วมมือระยะยาวที่มีเป้าหมายเชื่อมโยงการใช้พลังงานไฟฟ้าระหว่างประเทศสมาชิก 10 ประเทศ เพื่อเสริมความมั่นคงพลังงาน ลดต้นทุนการผลิต และแบ่งปันทรัพยากรระหว่างกัน
โครงการนี้มีการพูดถึงมานาน แต่ยังคืบหน้าอย่างจำกัดเนื่องจากอุปสรรคด้านโครงสร้างพื้นฐาน การเมือง และกฎหมายระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม หากกรณีไทย-กัมพูชากลายเป็นประเด็นใหญ่ ก็อาจเป็นบทเรียนสำคัญว่า การไม่พึ่งพาและไม่ไว้ใจกันในระดับพลังงาน อาจนำไปสู่ความเปราะบางที่มากกว่าความมั่นคง
บทสรุป: ทางออกอยู่ที่ความร่วมมือ ไม่ใช่การเผชิญหน้า
กรณีข้อพิพาทด้านพลังงานระหว่างไทย-กัมพูชาครั้งนี้ เป็นเครื่องสะท้อนความเปราะบางของความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ดูเหมือนแน่นแฟ้น แต่ยังมีจุดอ่อนไหว หากปล่อยให้การสื่อสารและการตอบโต้เกิดขึ้นผ่านสื่อ โดยขาดเวทีหารืออย่างเป็นทางการ อาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดและการขยายความขัดแย้งโดยไม่จำเป็น
การแถลงของนายแก้ว รัดนัค จึงควรถูกมองในแง่ของการชี้แจงข้อเท็จจริง พร้อมทั้งส่งสารให้ทุกฝ่ายในอาเซียนหันกลับมาทบทวนว่า พลังงานควรเป็นจุดเชื่อม ไม่ใช่จุดแตกแยก และการพึ่งพากันอย่างสมดุลคือคำตอบของภูมิภาคที่ยั่งยืน






















