ฮุนเซนปล่อยเพลงปลุกใจชาติ แต่บล็อกคนไทยเมนต์
สมเด็จ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ปิดกั้นการมองเห็นจากไอพีไทย หลังความขัดแย้งชายแดนรุนแรงขึ้น
ในวันที่ 10 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์สำคัญเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชาและไทย เมื่อเพจ Samdech Hun Sen of Cambodia ซึ่งเป็นเพจอย่างเป็นทางการของสมเด็จ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภา และอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้ดำเนินการปิดกั้นการมองเห็น หรือที่เรียกกันว่า บล็อกไอพีจากประเทศไทย อีกครั้งหนึ่ง หลังจากก่อนหน้านี้เคยมีการบล็อกไอพีจากประเทศไทยมาแล้วหนึ่งครั้งก่อนหน้านี้ โดยการกระทำดังกล่าวเป็นผลมาจากความขัดแย้งในประเด็นชายแดนที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชา
ความขัดแย้งในเรื่องเขตแดนระหว่างไทยและกัมพูชานั้นไม่ได้เกิดขึ้นใหม่ในครั้งนี้ หากแต่เป็นปัญหาที่ยืดเยื้อมานานหลายปี โดยเฉพาะในบริเวณพื้นที่ชายแดนที่มีข้อพิพาทระหว่างสองประเทศ เช่น บริเวณปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบที่มีความขัดแย้งกันในเรื่องของสิทธิ์การถือครองและการจัดการพื้นที่
ในช่วงที่ผ่านมา ได้มีการรายงานข่าวว่ากัมพูชาได้ตั้ง คณะกรรมการกฎหมาย เพื่อดำเนินการยื่นเรื่องข้อพิพาทชายแดนต่อศาลโลก (International Court of Justice หรือ ICJ) ซึ่งถือเป็นการดำเนินการทางกฎหมายในระดับสากล เพื่อแก้ไขข้อขัดแย้งในเรื่องเขตแดนระหว่างสองประเทศอย่างเป็นทางการ
การประกาศตั้งคณะกรรมการดังกล่าว และการดำเนินการยื่นเรื่องต่อศาลโลก ทำให้เกิดความตึงเครียดและมีการแลกเปลี่ยนข้อความและข่าวสารที่รุนแรงขึ้นในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะในสื่อสังคมออนไลน์ของทั้งสองประเทศ
การบล็อกไอพีจากประเทศไทยของเพจ Samdech Hun Sen of Cambodia
ในช่วงก่อนหน้าที่จะมีการบล็อกไอพีครั้งล่าสุดนี้ เพจ Samdech Hun Sen of Cambodia ได้โพสต์เนื้อหาที่ยืนยันอย่างชัดเจนว่า “ช่อง บก” หรือพื้นที่บริเวณหนึ่งในพื้นที่พิพาทชายแดนเป็นของกัมพูชา ซึ่งข้อความดังกล่าวได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์และการตอบโต้จากชาวเน็ตไทยอย่างรุนแรง โดยมีการถล่มและแสดงความคิดเห็นในเชิงลบอย่างกว้างขวาง
ผลกระทบจากความคิดเห็นที่รุนแรงนี้ จึงทำให้ทางเพจจำเป็นต้องบล็อกไอพีจากประเทศไทย เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใช้ในประเทศไทยเข้าถึงเนื้อหาบนเพจได้ นับเป็นครั้งที่สองที่มีการบล็อกไอพีจากไทย โดยครั้งแรกเกิดขึ้นหลังจากที่มีการโพสต์เนื้อหาที่ยืนยันสิทธิ์ในพื้นที่ชายแดนเช่นกัน
การบล็อกไอพีนี้สะท้อนให้เห็นถึงความตึงเครียดและความขัดแย้งที่มีอยู่ในปัจจุบันระหว่างสองประเทศ ไม่เพียงแต่ในเชิงการเมืองเท่านั้น แต่ยังส่งผลไปถึงการสื่อสารและการแสดงความเห็นของประชาชนในโลกออนไลน์อีกด้วย
เนื้อหาวิดีโอคลิปปลุกใจชาวกัมพูชาก่อนบล็อกไอพี
ก่อนที่เพจ Samdech Hun Sen of Cambodia จะตัดสินใจบล็อกไอพีจากประเทศไทย ได้มีการโพสต์วิดีโอคลิปซึ่งมีลักษณะเป็นเพลงปลุกใจ เพื่อสร้างความเข้มแข็งและความรู้สึกภาคภูมิใจในอธิปไตยของชาติแก่ประชาชนชาวกัมพูชา เนื้อหาของเพลงนี้สื่อถึงความมั่นคงในการรักษาอธิปไตยและไม่ยอมเสียดายดินแดนหรือสิทธิ์ของชาติ
เนื้อเพลงในคลิปนี้มีความหมายที่ลึกซึ้งและเป็นการกระตุ้นให้ประชาชนรู้จักการยืนหยัดเพื่อชาติ แม้จะเผชิญกับแรงกดดันหรือความท้าทายใด ๆ ก็ตาม โดยมีใจความสำคัญว่า “อธิปไตยไม่สามารถเสียดาย” ซึ่งหมายความว่าชาติไม่ควรละทิ้งสิทธิ์และความมั่นคงของตนเองเพื่อผลประโยชน์ชั่วคราว
วิดีโอดังกล่าวกลายเป็นเครื่องมือทางการสื่อสารที่สำคัญในการส่งเสริมความเป็นหนึ่งเดียวกันของชาวกัมพูชา และยังแสดงให้เห็นถึงท่าทีที่แน่วแน่ของผู้นำกัมพูชาในการปกป้องสิทธิ์ของชาติในข้อพิพาทชายแดนครั้งนี้
ปฏิกิริยาจากฝ่ายไทยและแนวทางแก้ไขปัญหา
ปฏิกิริยาจากฝั่งไทยหลังจากเหตุการณ์บล็อกไอพีจากเพจของสมเด็จ ฮุน เซน รวมถึงการแลกเปลี่ยนข้อความที่รุนแรงในโลกออนไลน์ ทำให้ผู้เกี่ยวข้องทั้งในระดับรัฐบาลและสังคมไทยต่างตื่นตัวและเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
รัฐบาลไทยยังคงยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการแก้ไขข้อพิพาทชายแดนด้วยความสงบและผ่านกระบวนการทางการทูตและกฎหมาย โดยหวังว่าจะสามารถลดความตึงเครียดและหาทางออกร่วมกันที่เป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่ายโดยเร็วที่สุด
ทั้งนี้ การยื่นข้อพิพาทต่อศาลโลกถือเป็นช่องทางที่มีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาในระดับสากล เพราะศาลโลกจะเป็นผู้พิจารณาข้อเท็จจริงและตัดสินใจตามกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นวิธีการที่ช่วยลดความขัดแย้งและความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นได้
บทสรุปและผลกระทบในอนาคต
เหตุการณ์ที่เพจ Samdech Hun Sen of Cambodia ปิดกั้นการมองเห็นจากไอพีประเทศไทยสะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนและความตึงเครียดที่ยังคงดำเนินอยู่ในความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชา โดยเฉพาะในประเด็นข้อพิพาทชายแดนที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างชัดเจน
การบล็อกไอพีเป็นเพียงหนึ่งในหลายวิธีที่ถูกใช้เพื่อควบคุมการสื่อสารและป้องกันความคิดเห็นที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งในโลกออนไลน์ นอกจากนี้ยังเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความรู้สึกไม่พอใจและความกังวลต่อการแสดงความเห็นจากฝั่งตรงข้าม
สำหรับอนาคต สถานการณ์ดังกล่าวน่าจะส่งผลให้ทั้งสองฝ่ายต้องหันมาให้ความสำคัญกับการเจรจาและการแก้ไขปัญหาผ่านช่องทางทางการทูตอย่างจริงจัง และการใช้ศาลโลกเป็นเครื่องมือในการตัดสินข้อพิพาทจะเป็นก้าวสำคัญในการสร้างสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาคนี้
ในขณะเดียวกัน ประชาชนทั้งสองประเทศก็ควรมีความเข้าใจและอดทนต่อสถานการณ์ เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่ไม่จำเป็น และสนับสนุนการแก้ไขปัญหาอย่างสันติและยั่งยืน














