เล่นหนังไทยแต่โดนแบน! ดารากัมพูชาทำอะไร ถึงทำคนไทยไม่พอใจ?
กระแสดราม่า “พระร่วง..มหาศึกสุโขทัย” กับคำถามที่ใหญ่กว่าภาพยนตร์: ความเปราะบางของอัตลักษณ์ไทย-กัมพูชาในยุคชาตินิยม
ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์แห่งปี 2568 อย่าง “พระร่วง..มหาศึกสุโขทัย” ที่กำกับโดย เน็ต-ชาติชาย เกษนิล กำลังฉายอยู่ในโรงภาพยนตร์ ท่ามกลางกระแสความคาดหวังจากคนไทยที่อยากเห็นงานภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ระดับมหากาพย์ที่อ้างอิงจากพระราชนิพนธ์เรื่อง “พระร่วง” โดย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 และแรงบันดาลใจจากบันทึกโบราณในยุคสุโขทัย
ในช่วงแรก หนังเรื่องนี้ได้รับเสียงชื่นชมจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะการถ่ายทอดความงดงามของศิลปวัฒนธรรมไทย สถาปัตยกรรมยุคสุโขทัย การแต่งกายที่อิงจากประวัติศาสตร์โบราณ และบทบาทของกษัตริย์ไทยยุคต้นที่ถูกตีความใหม่ให้ร่วมสมัยมากขึ้น ซึ่งต่างจากหนังประวัติศาสตร์ไทยแบบเดิมๆ ที่มักเน้นการเชิดชูแบบทื่อๆ ไม่เปิดช่องให้เกิดคำถาม
แต่แล้ว “มหาศึก” ที่แท้จริงกลับไม่ได้อยู่ในเนื้อเรื่องของภาพยนตร์ หากแต่อยู่ใน “นอกจอ” ที่คนไทยกลุ่มหนึ่งจุดประกายกระแส #แบนพระร่วง เพราะความไม่พอใจนักแสดงชาวกัมพูชา Yem Srey Pich (เยม สตรีเพชร) ที่รับบทเป็น พระนางสุขรมหาเทวี ชายาของพ่อขุนผาเมือง
จุดเริ่มต้นของการแบน: คำว่า “Cambodian custom” จุดชนวนข้ามพรมแดน
เหตุการณ์เริ่มต้นจากการที่เยม สตรีเพชร โพสต์ภาพตนเองในชุดไทยประยุกต์ลงโซเชียลมีเดีย โดยมีผู้ใช้งานเข้ามาคอมเมนต์ว่า “ชุดไทยสวยมาก” เธอได้ตอบกลับด้วยข้อความว่า
“That’s Cambodian custom.”
เพียงคำตอบสั้นๆ ประโยคนี้ กลับกลายเป็นชนวนความขัดแย้งระหว่างโลกออนไลน์ไทย-กัมพูชา โดยคนไทยจำนวนหนึ่งมองว่าเธอ “เคลมชุดไทย” และกล่าวหาว่าเธอไม่ให้เกียรติวัฒนธรรมไทย ถึงขั้นเรียกร้องให้ แบนภาพยนตร์พระร่วง รวมถึงขุดคุ้ยประเด็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเธอ ทั้งเรื่องเชื้อชาติ บทบาทในหนัง และความน่าเชื่อถือในการสื่อสารประวัติศาสตร์ไทยในประเทศของเธอ
ความขัดแย้งที่ฝังรากลึก: ไทย-กัมพูชากับการถกเถียงชุดประจำชาติ
ในอดีต ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาในประเด็นชุดประจำชาติไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ย้อนกลับไปในช่วงการประกวดนางงามระดับนานาชาติ เราเคยเห็นความคล้ายคลึงระหว่างชุดประจำชาติของทั้งสองประเทศมาแล้วนับไม่ถ้วน เช่น
ปี 2566: แอนโทเนีย โพซิ่ว ตัวแทนไทยสวมชุด “พระแม่ธรณี” บนเวที Miss Universe
ปี 2567: กัมพูชาส่งชุด “พระแม่ธรเนี” ที่ดูละม้ายคล้ายกันมาบนเวที Miss Aura Cambodia
หลายครั้งที่ชาวเน็ตไทยออกมาโวยวายว่าถูกลอกเลียน แต่ขณะเดียวกันก็มีชาวกัมพูชาบางส่วนออกมาชี้ว่า “ต้นกำเนิดชุดเหล่านี้มาจากอารยธรรมขอม” เช่นกัน จึงนำไปสู่การดราม่าที่ไม่จบสิ้น
ความจริงก็คือ ทั้งสองประเทศมี วัฒนธรรมร่วม (shared culture) มาตั้งแต่อดีตกาล เพราะพื้นที่ของไทยในอดีตก็เคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรขอม หรือได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมขอมผ่านการแลกเปลี่ยนทางศาสนา ศิลปะ และการปกครอง
ชุดไทย-ชุดกัมพูชา: แยกกันได้จริงหรือ?
“ชุดไทยพระราชนิยม” ทั้ง 8 แบบ ที่เป็นที่ยอมรับในปัจจุบัน เช่น ชุดไทยจักรี, ชุดไทยบรมพิมาน, ชุดไทยศิวาลัย ฯลฯ นั้น เป็นผลงานการออกแบบโดย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 ดังนั้นแม้จะอิงจากการแต่งกายในอดีต แต่ก็เป็นการจัดระเบียบและประดิษฐ์ขึ้นใหม่ให้มีความเป็นระเบียบแบบแผน
ในขณะที่กัมพูชาก็มี “ซัมปอด” (Sampot) ซึ่งเป็นชุดพื้นเมืองที่มีมาตั้งแต่ยุคอาณาจักรฟูนัน ราวพุทธศตวรรษที่ 6-11 และยังคงมีลักษณะคล้ายคลึงกับโจงกระเบนของไทย ดังนั้น เมื่อพูดถึง “ชุดไทยประยุกต์” ในภาพถ่ายของสตรีเพชร จึงอาจมีส่วนผสมของดีไซน์ทั้งสองประเทศอย่างไม่เจตนา
คำถามคือ หากชุดที่เธอสวมใส่ไม่ตรงกับชุดไทยพระราชนิยมแบบใดเลย และเป็นเพียงการออกแบบประยุกต์ร่วมสมัย แล้วการบอกว่าเป็น “Cambodian custom” จะถือเป็นความผิดจริงหรือ?
“พระร่วง” กับพื้นที่แห่งการตีความใหม่
กลับมาที่ตัวภาพยนตร์เอง “พระร่วง..มหาศึกสุโขทัย” ไม่ใช่แค่หนังประวัติศาสตร์ที่เน้นความยิ่งใหญ่ของชาติ หากแต่เป็นการตีความใหม่ผ่านสายตาร่วมสมัย โดยใช้เทคนิคการเล่าที่ตัดสลับอดีต-ปัจจุบัน เพื่อให้ผู้ชมตั้งคำถามต่อประวัติศาสตร์ที่ถูกบอกเล่าในระบบการศึกษาไทยมาอย่างยาวนาน
บทภาพยนตร์อิงจาก บทละครพูดคำกลอน ของ รัชกาลที่ 6 ซึ่งตัวเนื้อหาก็เป็นการแต่งขึ้นโดยอิงกับหลักฐานทางโบราณคดีในยุคนั้น นั่นคือไม่ได้อ้างตนว่า “จริงแท้แน่นอน” แต่เปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ตั้งข้อสงสัย ขบคิด ตีความใหม่ และเข้าใจประวัติศาสตร์ไทยอย่างรอบด้าน
เยม สตรีเพชร ที่มารับบทเป็นพระนางสุขรมหาเทวี นับว่ามีบทบาทสำคัญ เพราะตามประวัติศาสตร์ พระนางคือธิดาของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 กษัตริย์ขอม จึงมีการพูดภาษาเขมรสลับไทยในบท ซึ่งสะท้อนความพยายามของผู้สร้างในการ “ยึดโยง” ความจริงทางประวัติศาสตร์ มากกว่าจะสร้างความขัดแย้ง
การแบนหนังเพราะนักแสดง: ยุติธรรมกับใคร?
การแบนภาพยนตร์เรื่องหนึ่งเพราะไม่พอใจการสื่อสารของนักแสดง ถือเป็นเรื่องที่ชวนตั้งคำถามว่า เรากำลังตัดสินงานศิลปะจากผลงาน หรือจากตัวบุคคล?
และหากเราปล่อยให้กระแสชาตินิยมกลืนกินความคิดวิพากษ์เชิงวัฒนธรรม แล้วใครจะเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์?
เพราะสุดท้าย ผลกระทบตกอยู่กับนักแสดง ทีมงาน ช่างศิลป์ นักออกแบบ นักประวัติศาสตร์ที่ปรึกษาเบื้องหลัง และวงการภาพยนตร์ไทยที่ยังคงต่อสู้ดิ้นรนในระบบทุนอย่างยากลำบาก
การไม่แยกแยะความรู้สึกส่วนตัวกับผลงานเชิงสร้างสรรค์ อาจกลายเป็นอุปสรรคสำคัญของความเข้าใจข้ามวัฒนธรรมในโลกปัจจุบันที่ซับซ้อนมากขึ้นทุกวัน
สรุป
ภาพยนตร์ “พระร่วง..มหาศึกสุโขทัย” สะท้อนมากกว่าความรุ่งเรืองในอดีต หากยังเปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ได้ตั้งคำถามกับประวัติศาสตร์ พร้อมเผยให้เห็นความเปราะบางของความเป็นชาติในยุคที่สื่อสังคมออนไลน์ขยายผลความขัดแย้งได้เพียงปลายนิ้ว
เราอาจต้องย้อนถามตัวเองว่า การแบนหนังหนึ่งเรื่องเพราะไม่พอใจคำตอบของนักแสดง เป็นการแสดงออกที่เหมาะสมแล้วหรือยัง? หรือว่าเราควรเปิดพื้นที่ให้ความแตกต่างได้อยู่ร่วมกันอย่างสร้างสรรค์มากกว่านี้?






















