เรียกคืนเยลลี่ฮาริโบ เยลลี่หมีตัวจิ๋ว
"ฮาริโบ" บริษัทผู้ผลิตเยลลีชื่อดังจากเยอรมนี ออกแถลงการณ์เรียกคืนเยลลี่ รูปขวดโคลา "Happy Cola F!ZZ" ในเนเธอร์แลนด์ หลังตรวจพบสารกัญชา ปะปนในสินค้า พบเด็กที่กินเข้าไปแล้วมีอาการเวียนหัว มึนงง ด้านหน่วยงานความปลอดภัยอาหารเตือนผู้บริโภคห้ามกินเด็ดขาด แล้วขนมตัวนี้มีมานานหรือยัง ?
ขนมหมีสีสดใสที่เคี้ยวหนึบ ๆ แค่เห็นก็อมยิ้มออกมา—คุณอาจไม่รู้ว่าเจ้าหมีตัวจิ๋วเหล่านี้มีชื่อเสียงมานานกว่าศตวรรษ และเบื้องหลังความน่ารักน่าเคี้ยวของ ฮาริโบ (HARIBO) ก็คือเรื่องราวที่แสน “จริง” ตั้งแต่สงครามโลกจนถึงตู้แคชเชียร์ในร้านสะดวกซื้อ
มันไม่ใช่แค่เยลลี่หมี แต่มันคือ "วัฒนธรรมเคี้ยวได้"
จุดเริ่มต้นจากห้องครัวในเยอรมนี
ชื่อ HARIBO ไม่ได้ตั้งขึ้นลอย ๆ แต่ย่อมาจากชื่อของผู้ก่อตั้งและเมืองบ้านเกิดของเขา:
HA – Hans
RI – Riegel
BO – Bonn
ย้อนกลับไปปี 1920 ฮันส์ รีเกล (Hans Riegel) เริ่มต้นกิจการทำขนมเล็ก ๆ ในเมืองบอนน์ ประเทศเยอรมนี ด้วยอุปกรณ์แค่หม้อทองแดง เตา และความฝัน หลังจากนั้นแค่สองปี เขาก็คิดค้นขนมรูปร่าง “หมีเต้นระบำ” (Dancing Bear) ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจจากสัตว์ในคณะละครสัตว์ และนั่นแหละ คือบรรพบุรุษของ Gummibärchen (กัมมีแบร์เคิน) หรือ “หมีเหนียว” ที่เราเคี้ยวกันในทุกวันนี้
หมีตัวแรกของโลกไม่ได้ตัวอ้วนจ้ำม่ำ
หมีฮาริโบยุคแรกไม่ใช่หมีตัวกลม ๆ น่ารักแบบปัจจุบัน แต่ผอมยาวเหมือนหมีขั้วโลกติดไดเอท
จนกระทั่งช่วงปี 1960s ทางบริษัทจึงออกแบบหมีใหม่ให้ดูน่ารักและ “เคี้ยวสนุก” มากขึ้น
และนั่นคือต้นแบบของ Goldbears เยลลี่หมีในถุงทองที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้
ทำไมฮาริโบถึงเคี้ยวแล้วหยุดไม่ได้?
ฮาริโบไม่ใช่เยลลี่ที่หวานแหลมจนเลี่ยน หรือหนึบจนเคี้ยวแล้วเมื่อย
แต่มันมี “บาลานซ์” ของ:
-
รสชาติ (เปรี้ยว-หวานแบบพอดีปาก)
-
สัมผัส (หนึบแต่ไม่แข็ง ไม่ละลายทันที)
-
กลิ่นผลไม้ ที่หลอกสมองว่า "ฉันกำลังกินอะไรสุขภาพดีอยู่รึเปล่านี่?"
และที่สำคัญ สูตรดั้งเดิมใช้ เจลาตินจากสัตว์ ทำให้เนื้อสัมผัสต่างจากเยลลี่ผงทั่ว ๆ ไป แม้ภายหลังจะมีสูตรวีแกนออกมาเพื่อรองรับตลาดที่ใหญ่ขึ้น
ความดังระดับโลกที่ไม่ใช่แค่ขนมเด็ก
ปัจจุบัน HARIBO เป็นแบรนด์เยลลี่อันดับ 1 ของยุโรป และติดอันดับโลก
มียอดขายหลายพันล้านยูโรต่อปี
และส่งออกไปกว่า 100 ประเทศ โดยมีโรงงานผลิตในหลายแห่ง รวมถึงอเมริกา สหราชอาณาจักร ตุรกี และบราซิล
ที่น่าสนใจกว่า คือ "แฟนคลับ" ของฮาริโบไม่ได้มีแค่เด็ก
แต่รวมถึงนักสะสม ผู้ใหญ่สายเรโทร คนชอบถ่ายภาพ ของเล่น และแม้กระทั่งเชฟสายขนมที่ใช้ฮาริโบในการตกแต่งเมนู
เวอร์ชันสุดแปลกที่คุณอาจไม่เคยเห็น
-
ฮาริโบรสลาบ ไม่มีนะครับ อย่าเชื่อโซเชียล
-
แต่ รส Lakritz (รสชะเอม) มีจริง และเป็นที่รักของคนเยอรมัน แม้คนไทยจะงงว่า "นี่กินได้เหรอ"
-
เวอร์ชันเผ็ด ก็มีในบางประเทศ เช่น เม็กซิโก ที่ผสมพริกลงไปด้วย
-
Giant HARIBO เยลลี่หมีไซส์เท่าฝ่ามือมีขายจริง (น้ำหนักเป็นขีด)
นอกจากนี้ยังมีรุ่นพิเศษตามเทศกาล เช่น ฮาโลวีน คริสต์มาส หรือเวอร์ชัน “หมีทองสีรุ้ง” สำหรับ LGBTQ+
ฮาริโบกับ Pop Culture
ไม่ใช่แค่ขนมในซูเปอร์มาร์เก็ต แต่ HARIBO โผล่ในภาพยนตร์ มิวสิกวิดีโอ และแม้แต่แฟชั่น
-
นักร้องสาย K-pop และ Youtuber หลายคนใช้เยลลี่หมีเป็นพร็อพถ่ายภาพ
-
มีแบรนด์แฟชั่นจับมือกับ HARIBO ออกคอลเลกชันเสื้อผ้าและเครื่องประดับ
-
ยังมี “เครื่องจำลองโรงงาน HARIBO” สำหรับนักท่องเที่ยวที่เยอรมนี
แค่เข้าไปก็เหมือนหลุดเข้าไปใน Willy Wonka เวอร์ชันเยอรมัน
ข้อคิดจากหมีเยลลี่
ถ้ามองให้ลึก ฮาริโบเป็นตัวอย่างของธุรกิจที่เริ่มจากความเล็กแต่ไม่หยุดฝัน
-
มาจากคนธรรมดาที่แค่รักในสิ่งที่ทำ
-
ไม่กลัวปรับเปลี่ยนตามยุคสมัย (เช่น การทำสูตรวีแกน หรือหมีรสเปรี้ยว)
-
เข้าใจตลาด เข้าใจอารมณ์ผู้บริโภค และใช้ “ความน่ารัก” อย่างฉลาด
แล้วฮาริโบสอนอะไรเรา?
-
ของบางอย่างไม่จำเป็นต้องใหญ่หรือแพง แต่ต้อง “จริงใจและสม่ำเสมอ”
ฮาริโบไม่เคยต้องใช้โฆษณาหรูหรา แต่ใช้คุณภาพล้วน ๆ -
จงรักษาเอกลักษณ์ของตัวเอง
แม้เยลลี่จะมีหลายแบรนด์ แต่หมีฮาริโบมีอะไรบางอย่างที่ทำให้คนจำได้ -
“เคี้ยวหนึบแต่ไม่เหนียวใจ”
เหมือนชีวิตที่มีรสเปรี้ยวหวาน แต่เรายังคงยิ้มได้…แค่เคี้ยวมันไปเรื่อย ๆ
หมีจิ๋วตัวนั้นอาจดูเหมือนขนมธรรมดา แต่เรื่องราวของมันเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ
และครั้งหน้าที่คุณหยิบ HARIBO ขึ้นมาหนึ่งชิ้น ลองหลับตาเคี้ยวช้า ๆ
แล้วคุณอาจจะได้ “รสชาติของความฝันที่เป็นจริง” เข้าปากโดยไม่รู้ตัว






















