คลี่ปมสยอง! “ดีเจเตเต้” ถูกอุ้มก่อนถูกฆ่า ศพโผล่ใกล้บ้านผู้ต้องสงสัย
ปริศนา “ดีเจเตเต้” ถูกอุ้มฆ่าโหดกลางดึก พบเป็นศพในป่า ปมรักซ้อนเชื่อมโยงขบวนการค้ายาแฟนเก่าหึงหวง สะเทือนทั้งเมืองกาญจน์
เป็นเหตุการณ์ที่สั่นสะเทือนวงการบันเทิงท้องถิ่นและชุมชนในจังหวัดกาญจนบุรี เมื่อ "ดีเจเตเต้" หรือ นายวราพงษ์ ขุนศรีจตุรงค์ อายุ 33 ปี ดีเจชื่อดังในสถานบันเทิงย่านเมืองกาญจน์ หายตัวไปอย่างลึกลับในช่วงกลางดึกของคืนวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 ท่ามกลางความสงสัยของแฟนสาว ครอบครัว และเพื่อนร่วมงาน ก่อนที่ในวันที่ 18 พฤษภาคม จะพบร่างไร้ชีวิตของเขาถูกมัดมือไพล่หลังและยิงเข้าที่ศีรษะสองนัด ทิ้งศพในป่าละเมาะอย่างเหี้ยมโหด
ปริศนาการหายตัว: เสียงสุดท้าย “ผมไม่ได้ทำอะไรเลย” ก่อนสัญญาณขาดหาย
จากข้อมูลเบื้องต้น ดีเจเตเต้หายตัวไปหลังเลิกงานจากผับแห่งหนึ่งในตัวเมืองกาญจนบุรี ซึ่งเป็นสถานที่ที่เขามักไปเปิดแผ่นเป็นประจำ กล้องวงจรปิดของหมู่บ้านพฤกษากาญจน์ 5 ซอย 7 ซึ่งอยู่ใกล้บ้านพักของเขา บันทึกภาพสุดท้ายของชายหนุ่มได้ในช่วงเวลาประมาณ 03.54 น. ของวันที่ 14 พฤษภาคม โดยเห็นว่ามีรถกระบะสีขาวและรถเก๋งสีดำขับตามหลังมาประกบเขา
ก่อนที่สัญญาณจากโทรศัพท์ของเขาจะหายไป ดีเจเตเต้ได้โทรศัพท์หาหญิงสาวชื่อ “น.ส.นิตยา” ซึ่งระหว่างการพูดคุยนั้น เขาพูดเพียงสั้น ๆ ว่า “ผมไม่ได้ทำอะไรเลย” แล้วสายก็ขาดหายไปอย่างลึกลับ ข้อความสุดท้ายนี้กลายเป็นเบาะแสสำคัญที่ทำให้แฟนสาวของเขาเริ่มรู้สึกผิดปกติ และตัดสินใจแจ้งความคนหายในทันที
พบศพในป่าห่าง 20 กิโลเมตร: หลักฐานเชื่อมโยงชัดเจน
เช้าวันที่ 18 พฤษภาคม เวลา 09.30 น. ชาวบ้านจากหมู่ 3 ตำบลลาดหญ้า อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจหลังพบศพชายลึกลับในป่าละเมาะ ห่างจากจุดที่ดีเจเตเต้หายตัวไปราว 20 กิโลเมตร สภาพศพสวมเสื้อยืดสีดำ กางเกงขายาวสีดํา ถูกมัดมือไพล่หลังด้วยเชือกไนล่อนสีเขียว ศพเริ่มบวม ส่งกลิ่นเหม็นคลุ้งทั่วบริเวณ และยืนยันภายหลังจากการตรวจสอบว่าเป็นร่างของดีเจเตเต้จริง
เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานและชุดสืบสวนภาค 7 พร้อมตำรวจ สภ.ลาดหญ้า เร่งลงพื้นที่ตรวจสอบจุดเกิดเหตุโดยทันที โดยต้องใช้รถขับเคลื่อนสี่ล้อฝ่าป่าเข้าไปกว่า 20 นาที และเดินเท้าอีก 5 นาที จึงพบจุดที่ศพถูกทิ้งไว้
ปริศนาเริ่มคลี่คลาย: กล้องหน้ารถเผยเส้นทางสู่จุดสังหาร
หลักฐานสำคัญอีกชิ้นหนึ่งคือรถเก๋งสีดำซึ่งกล้องวงจรปิดระบุว่าเป็นหนึ่งในรถที่ประกบรถของดีเจเตเต้ในวันเกิดเหตุ จากการสืบสวนพบว่า รถคันดังกล่าวถูก “นายนพพิจิตร” หรือที่รู้จักกันในชื่อ "นายเหลือบ" นำไปจอดซ่อนไว้ที่นิคมอุตสาหกรรมโพธาราม อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี โดยอ้างกับเจ้าหน้าที่ว่า “รถเสีย”
แต่เมื่อเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบรถ พบว่ารถได้รับการล้างทำความสะอาดอย่างดีทั้งภายนอกและภายใน อย่างไรก็ตาม กล้องหน้ารถกลับบันทึกภาพช่วงที่ขับเข้าไปยังป่ารก ซึ่งเป็นจุดเดียวกับที่พบศพของดีเจเตเต้ภายหลัง จึงกลายเป็นหลักฐานสำคัญที่เชื่อมโยงรถคันดังกล่าวเข้ากับการก่อเหตุ
พยานคนขับรถกระบะปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา แต่ตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อ
อีกหนึ่งเบาะแสคือรถกระบะสีขาวที่ปรากฏในกล้องวงจรปิดเช่นกัน โดยตำรวจได้เชิญตัว นายวิทูล หรือ “กูล” และ นายธนเดช หรือ “กิ่ง” ซึ่งเป็นผู้ขับขี่รถคันดังกล่าว มาสอบปากคำ ทั้งสองให้การปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับเหตุการณ์ในคืนเกิดเหตุ และไม่ทราบว่าเป็นใครที่อยู่ในรถเก๋งสีดำ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ไม่ปักใจเชื่อและยังคงตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง
ปมสังหารโหด: ความรักต้องห้ามกับ “น.ส.น้ำ” แฟนสาวพ่อค้ายา
เมื่อขุดลึกลงไปถึงสาเหตุของการก่อเหตุ เจ้าหน้าที่พบปมเบื้องหลังที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกับขบวนการค้ายาเสพติดในพื้นที่ โดยพบว่าดีเจเตเต้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับ “น.ส.น้ำ” ซึ่งเป็นหญิงสาวที่มีแฟนชื่อ “นายปุ๋ย” ผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายใหญ่ในจังหวัดกาญจนบุรี และมีหมายจับติดตัวอยู่ก่อนหน้า
เจ้าหน้าที่เชื่อว่า นายปุ๋ยเคยพยายามเตือนดีเจเตเต้หลายครั้งให้เลิกยุ่งเกี่ยวกับน.ส.น้ำ แต่ไม่เป็นผล และคาดว่าเรื่องนี้เป็นชนวนเหตุสำคัญที่นำไปสู่การวางแผนลักพาตัวและสังหารอย่างโหดเหี้ยม
คำให้การจากแฟนสาวและครอบครัว: เสียใจและต้องการความยุติธรรม
ด้านแฟนสาวของดีเจเตเต้ ให้การว่าเธอเคยพูดคุยกับแฟนหนุ่มเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับน.ส.น้ำหลายครั้ง และพยายามขอให้เลิกยุ่งเกี่ยวกัน ดีเจเตเต้ก็ยืนยันว่าได้ตัดขาดความสัมพันธ์แล้ว เธอไม่เคยคาดคิดว่าเรื่องนี้จะนำไปสู่จุดจบที่เลวร้ายเช่นนี้
พ่อของดีเจเตเต้ นายวิเชียร ขุนศรีจตุรงค์ เปิดใจทั้งน้ำตาว่า แม้จะเจ็บปวดแต่ก็รู้สึกโล่งใจที่ได้พบศพลูกชาย และจะนำศพกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาให้เรียบร้อย พร้อมทั้งฝากถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจให้เร่งคลี่คลายคดี จับตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีให้ได้ เพื่อให้ประชาชนยังเชื่อมั่นในระบบยุติธรรมของประเทศ
โพสต์สุดท้ายบนโลกออนไลน์: เงื่อนงำที่ยังไม่มีคำตอบ
หนึ่งในจุดที่น่าสนใจคือโพสต์สุดท้ายในเฟซบุ๊กของดีเจเตเต้ ซึ่งเป็นคลิปวิดีโอจากงานเปิดแผ่นที่เขาโพสต์เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม หนึ่งวันก่อนหายตัวไป และโพสต์ก่อนหน้านั้นในวันที่ 8 พฤษภาคม ที่เขาโปรโมตงานว่า “Hip hop EDM ยกย่อ เตรียมตัวออกเดินทางได้” พร้อมข้อความเหน็บแนมชีวิตวัยผู้ใหญ่ว่า “ยิ่งโต ชีวิตยิ่งไม่สนุก ไม่คือปวดหลัง” เป็นคำพูดที่หลายคนอ่านแล้วอดใจหายไม่ได้ เพราะไม่มีใครคิดว่าเส้นทางชีวิตของเขาจะต้องจบลงอย่างน่าเศร้าเช่นนี้
คดีการหายตัวไปและถูกสังหารของดีเจเตเต้ เป็นอีกหนึ่งคดีสะเทือนขวัญที่สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของขบวนการอาชญากรรมและผลพวงของความรักต้องห้ามที่นำไปสู่ความรุนแรงถึงชีวิต ขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังเร่งสืบสวนขยายผลเพื่อคลี่คลายคดี และติดตามจับกุมผู้ที่อยู่เบื้องหลังการวางแผนอุ้มฆ่าในครั้งนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด

















