คืนแรกในคุก! ทิดแย้มเครียด ไม่แตะข้าวเย็น อ้างไม่เคยฉันมื้อค่ำ
“ทิดแย้ม” อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง นอนคุกคืนแรก เผยมีอาการเครียดเล็กน้อย ไม่ฉันอาหารเย็น – เรือนจำคุมเข้มตามมาตรการ
หลังจากตกเป็นข่าวใหญ่สะเทือนวงการสงฆ์ และสังคมไทยทั้งประเทศ กรณี “ทิดแย้ม” หรืออดีตพระธรรมวชิรานุวัตร อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง จังหวัดนครปฐม ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนพัวพันกับการยักยอกเงินของวัดไร่ขิงร่วมกับหญิงสาวรายหนึ่งชื่อ น.ส.อรัญญาวรรณ รวมถึงอดีตพระลูกวัดคนสนิท ทำให้เกิดการสืบสวนครั้งใหญ่จากตำรวจ ปปป. และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ในที่สุด เมื่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางมีคำสั่งให้ออกหมายขัง ทั้งอดีตเจ้าอาวาส อดีตพระลูกวัด และผู้หญิงที่เกี่ยวข้อง ช่วงค่ำของวันที่ 18 พฤษภาคมที่ผ่านมา ทั้งหมดจึงถูกควบคุมตัวเข้าเรือนจำ
คืนแรกในเรือนจำ: ทิดแย้มเครียดเล็กน้อยแต่ยังให้ความร่วมมือดี
เมื่อเข้าสู่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ “ทิดแย้ม” ถูกส่งตัวเข้ารับกระบวนการคัดกรองตามมาตรฐานของกรมราชทัณฑ์ โดยมีการตรวจสุขภาพเบื้องต้น ตรวจคัดกรองโรคติดต่อ โดยเฉพาะโควิด-19 ซึ่งยังถือเป็นมาตรการควบคุมภายในเรือนจำที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ผลการตรวจพบว่าอดีตเจ้าอาวาสมีอาการเครียดเล็กน้อย ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติของผู้ต้องขังที่เพิ่งเข้าสู่กระบวนการควบคุมตัว โดยเฉพาะในกรณีของบุคคลที่มีชื่อเสียง และเคยดำรงตำแหน่งสูงในวงการศาสนา
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่เรือนจำได้เปิดเผยว่า “ทิดแย้ม” ยังสามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติในช่วงเช้าและกลางวัน เพียงแต่ไม่รับประทานอาหารเย็น โดยให้เหตุผลว่าในชีวิตสมณะก่อนหน้านี้ ไม่เคยฉันเย็นตามพระวินัย ทั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ไม่ได้พบพฤติกรรมต่อต้านหรือปฏิเสธความร่วมมือจากอดีตเจ้าอาวาส และไม่มีการร้องขอสิ่งของอุปโภคบริโภคใดเพิ่มเติม
อดีตพระลูกวัดคนสนิท “เอกพจน์” ถูกควบคุมตัวพร้อมกัน
อีกหนึ่งคนที่ถูกควบคุมตัวในคดีเดียวกันคือ “นายเอกพจน์” หรืออดีตพระมหาเอกพจน์ ซึ่งเคยเป็นพระลูกวัดและคนสนิทใกล้ชิดของอดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง โดยทั้งสองถูกส่งตัวเข้าห้องกักโรคเดียวกันหลังผ่านการตรวจร่างกาย ทั้งนี้ นายเอกพจน์มีโรคประจำตัวหนึ่งรายการ และได้รับยาประจำตัวตามการรักษาจากทางเรือนจำอย่างถูกต้อง
น.ส.อรัญญาวรรณ ถูกควบคุมตัวเข้าสู่ทัณฑสถานหญิงกลาง
ในขณะเดียวกัน ผู้หญิงคนสำคัญที่มีชื่อพัวพันในคดีนี้คือ น.ส.อรัญญาวรรณ ถูกควบคุมตัวเข้าเรือนจำหญิงกลาง ซึ่งเป็นเรือนจำที่รับผิดชอบผู้ต้องขังหญิง โดยเจ้าหน้าที่แจ้งว่า ขณะนี้เธออยู่ระหว่างการกักโรคเช่นกัน และให้ความร่วมมือในการดำเนินการทุกขั้นตอนอย่างดี ไม่มีอาการผิดปกติทางร่างกายหรือจิตใจ
เธอตกเป็นผู้ต้องหาในความผิดฐาน “เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการทรัพย์สิน แล้วเบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนโดยทุจริต หรือยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นไปโดยทุจริต” ซึ่งมีโทษหนักตามประมวลกฎหมายอาญา และการสอบสวนยังดำเนินต่อเพื่อขยายผลไปถึงบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้อง
คดีทุจริตเงินวัดไร่ขิง: ตรวจสอบบัญชีมากกว่า 20 บัญชี พบการโอนเงินกว่า 300 ล้านบาท
ก่อนหน้านี้ พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธุ์ ผู้บังคับการ ปปป. ให้ข้อมูลเกี่ยวกับความคืบหน้าการสอบสวนว่า มีการตรวจสอบเส้นทางการเงินจากบัญชีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวัดไร่ขิงมากกว่า 20 บัญชี ซึ่งรวมถึงบัญชีของมูลนิธิในวัด และบัญชีเฉพาะกิจที่เปิดขึ้นสำหรับการโอนเงินเพื่อกิจกรรม เช่น การเช่าพระเครื่อง การจัดงานบุญ หรือรับบริจาคต่าง ๆ
ผลการสืบสวนเบื้องต้นพบว่า มี 7 บัญชีที่สามารถนำมาใช้เป็นหลักฐานกล่าวหาอดีตเจ้าอาวาสว่ามีส่วนยักยอกเงินวัด โดยมีเส้นทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับนางสาวอรัญญาวรรณ และอดีตพระเอกพจน์อย่างชัดเจน ย้อนหลังตั้งแต่ปี 2563 ถึง 2567 รวมเป็นเงินมากกว่า 300 ล้านบาท
บัญชีส่วนตัวของอดีตพระแย้มโอนเงินให้น.ส.อรัญญาวรรณในช่วงปี 2566 รวมกว่า 80 ล้านบาท
บัญชีของนายเอกพจน์โอนเงินและนำเงินสดไปฝากให้กับน.ส.อรัญญาวรรณ รวมกว่า 200 ล้านบาท
อีกหนึ่งบัญชีของบุคคลที่สามมีการโอนให้น.ส.อรัญญาวรรณอีก 60 ล้านบาท
ขยายผลตรวจสอบทรัพย์สินอื่น ๆ เพิ่มเติม
อีกประเด็นที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งตรวจสอบ คือ การได้มาซึ่งทรัพย์สินอื่น ๆ โดยเฉพาะรถยนต์ที่นายแย้มเคยใช้สมัยเป็นเจ้าอาวาส ซึ่งมีหลายคันจดทะเบียนในชื่อของอดีตทหารเรือคนหนึ่งที่เป็นลูกศิษย์ใกล้ชิด โดยกำลังตรวจสอบว่าแหล่งที่มาของเงินที่ใช้ซื้อรถยนต์นั้นมีความเกี่ยวข้องกับเงินวัดหรือไม่ หากพบว่าเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด ก็จะดำเนินคดีเพิ่มเติมในส่วนนี้ด้วย
กระแสสังคมและคำถามต่อการจัดการภายในวัด
คดีของ “ทิดแย้ม” ได้สะท้อนถึงปัญหาการจัดการทรัพย์สินภายในวัดอย่างไม่โปร่งใส โดยเฉพาะเมื่อวัดมีขนาดใหญ่ มีรายได้จากการทำบุญ บูชาวัตถุมงคล หรือกิจกรรมศาสนาต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก แต่ขาดระบบตรวจสอบที่ชัดเจน ทำให้เกิดช่องว่างให้ผู้บริหารจัดการเงินนำไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม
การที่ศาลมีคำสั่งควบคุมตัวและให้มีการสอบสวนอย่างละเอียดในครั้งนี้ จึงเป็นโอกาสสำคัญที่สังคมจะต้องหันกลับมาทบทวนถึงการบริหารงานของวัดในภาพรวม พร้อมกับเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ หรือสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เข้ามามีบทบาทในการตรวจสอบบัญชีของวัดอย่างต่อเนื่อง
คดี “ทิดแย้ม” ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของบุคคลเพียงไม่กี่คน แต่เป็นบทเรียนสำคัญของระบบศาสนาและสังคมไทย การจับกุมและควบคุมตัวบุคคลที่เคยมีสถานะสูงในวงการศาสนา ชี้ให้เห็นถึงความตั้งใจในการจัดการกับการทุจริตอย่างจริงจังของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ทั้งนี้ คดีจะยังดำเนินต่อไปในชั้นศาล และสาธารณชนต่างจับตามองว่า บทสรุปของคดีนี้จะเป็นอย่างไร และจะส่งผลต่อแนวทางการตรวจสอบบัญชีวัดทั่วประเทศหรือไม่








