ทิดแย้มโอนกระจาย โผล่อีก 7 บัญชี ลากไส้เปิดแล้วกว่า 20 บัญชี
"ปมร้อนวัดไร่ขิง! ตำรวจขยายผลสอบบัญชีวัดกว่า 20 บัญชี ลากเส้นโยงเส้นทางเงินกว่า 300 ล้าน!"
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ข่าวคราวเกี่ยวกับการทุจริตและการยักยอกเงินในวงการสงฆ์กลับมาเป็นที่จับตามองของสังคมอีกครั้ง เมื่อวัดไร่ขิง จังหวัดนครปฐม กลายเป็นเป้าหมายของการตรวจสอบอย่างละเอียด โดยเฉพาะบัญชีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเงินบริจาคและกิจกรรมทางศาสนา ล่าสุด เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม ที่ผ่านมา พลตำรวจตรีประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผู้บังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ได้ออกมาเปิดเผยถึงความคืบหน้าการดำเนินการตรวจสอบวัดไร่ขิง โดยมีการเน้นไปที่เส้นทางการเงินและพฤติกรรมต้องสงสัยของอดีตเจ้าอาวาส นายแย้ม ที่มีความเชื่อมโยงกับการโอนเงินจำนวนมหาศาลให้กับบุคคลที่สาม
เปิดโปงบัญชีต้องสงสัย! พบโอนเงินนับร้อยล้าน
จากการสืบสวนเบื้องต้น เจ้าหน้าที่พบว่า มีบัญชีธนาคารที่เกี่ยวข้องกับวัดไร่ขิงมากกว่า 20 บัญชี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบัญชีที่เปิดเฉพาะกิจ ใช้สำหรับรับเงินบริจาค เช่น การเช่าบูชาพระเครื่อง กิจกรรมพิธีกรรม และบัญชีของมูลนิธิที่เกี่ยวข้องกับวัด ขณะเดียวกัน การตรวจสอบเชิงลึกพบว่า มี 7 บัญชีที่น่าสงสัยและถูกใช้เป็นหลักฐานกล่าวหา นายแย้ม อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิงว่าอาจเกี่ยวข้องกับการยักยอกเงินวัด
ในช่วงปี 2563 ถึง 2567 เจ้าหน้าที่พบความเชื่อมโยงระหว่างการโอนเงินจากบัญชีส่วนตัวของนายแย้มไปยังบุคคลหนึ่งชื่อว่า “นางสาวอรัญญาวรรณ” โดยพบว่ามีการโอนเงินรวมกันสูงถึง 80 ล้านบาทในปี 2566 เพียงปีเดียว นอกจากนี้ยังมีการใช้บัญชีของพระอีกท่านหนึ่งที่สึกแล้วคือ นายเอกพจน์ ซึ่งถูกใช้เป็นเครื่องมือในการโอนเงินและนำเงินสดไปฝากเข้าบัญชีธนาคารต่าง ๆ ให้นางสาวอรัญญาวรรณอีกกว่า 200 ล้านบาท
เท่านั้นยังไม่พอ เจ้าหน้าที่สืบพบว่ามีบุคคลลึกลับอีกหนึ่งราย ซึ่งขณะนี้ยังไม่เปิดเผยชื่อ อาจมีบทบาทสำคัญในขบวนการนี้ โดยมีบัญชีที่ใช้โอนเงินให้นางสาวอรัญญาวรรณอีก 60 ล้านบาท รวมแล้วยอดเงินที่ไหลเวียนผ่านเครือข่ายนี้ในช่วงเวลาดังกล่าวสูงกว่า 300 ล้านบาท
รถยนต์หรูหลายคัน-ลูกศิษย์คนสนิทอดีตทหารเรือโดนสอบ
อีกหนึ่งประเด็นที่กำลังอยู่ระหว่างตรวจสอบอย่างละเอียด คือกรณีของอดีตทหารเรือซึ่งเป็นลูกศิษย์คนสนิทของนายแย้ม โดยเจ้าหน้าที่พบว่า รถยนต์หรูหลายคันที่อดีตเจ้าอาวาสใช้ขณะยังอยู่ในตำแหน่ง มีชื่อบุคคลนี้เป็นผู้ครอบครอง จึงเกิดข้อสงสัยว่าเงินที่ใช้ในการซื้อรถยนต์เหล่านั้นมาจากไหน หากตรวจสอบพบว่าเป็นเงินที่ได้มาจากการกระทำผิดทางกฎหมาย ก็จะมีการดำเนินคดีเพิ่มเติมกับผู้ที่เกี่ยวข้องทันที อย่างไรก็ตามในเบื้องต้นยังไม่พบหลักฐานเชื่อมโยงโดยตรงระหว่างบุคคลนี้กับการยักยอกเงินจากบัญชีวัด
ตั้งศูนย์สอบสวนเฉพาะกิจ – เร่งปากคำผู้เกี่ยวข้อง
เพื่อให้การดำเนินคดีเป็นไปอย่างโปร่งใสและรวดเร็ว ทางเจ้าหน้าที่ได้ตั้งศูนย์ปฏิบัติการเฉพาะกิจขึ้นที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน จังหวัดนครปฐม โดยมีทีมพนักงานสอบสวนจากหลากหลายหน่วยงานร่วมกันทำงานอย่างเข้มข้น พร้อมทั้งเรียกตัวพยานและผู้เกี่ยวข้องมาให้ปากคำอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นไปที่การตรวจสอบเส้นทางการเงินเป็นหลัก
ข้อกล่าวหาที่ยากจะมองข้าม – ความศรัทธาถูกท้าทาย
กรณีวัดไร่ขิงในครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่สะท้อนภาพลักษณ์ของวงการสงฆ์ในปัจจุบัน ซึ่งต้องเผชิญกับความท้าทายทางด้านความโปร่งใสและความศรัทธาของพุทธศาสนิกชน ในอดีต วัดไร่ขิงถือเป็นสถานที่ที่ประชาชนให้ความเคารพนับถืออย่างสูง แต่เมื่อปรากฏข้อมูลการโอนเงินมหาศาลแบบไม่มีที่มา ประชาชนก็เริ่มตั้งคำถามว่าการบริจาคทำบุญนั้นถูกนำไปใช้ถูกวัตถุประสงค์จริงหรือไม่
ย้ำหลักพุทธศาสนา – ศรัทธาต้องอยู่บนพื้นฐานของความโปร่งใส
การที่วัดจะเป็นศูนย์รวมจิตใจและศูนย์กลางแห่งศรัทธาของประชาชนได้นั้น จำเป็นต้องอาศัยความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และยึดมั่นในหลักธรรมคำสอนอย่างแท้จริง คดีนี้ไม่ใช่เพียงการกล่าวหาบุคคลใดบุคคลหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นภาพสะท้อนของระบบที่ต้องการการปฏิรูปเพื่อให้พุทธศาสนาเป็นที่พึ่งทางจิตใจของประชาชนอย่างแท้จริง
ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
ขณะนี้การสอบสวนยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง และยังไม่มีการตั้งข้อกล่าวหาอย่างเป็นทางการกับบุคคลภายนอกวัดเพิ่มเติม แต่หากมีหลักฐานชัดเจนก็จะมีการดำเนินการตามกฎหมายทันที ประชาชนจึงควรติดตามข่าวสารจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ไม่ด่วนตัดสิน และใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูล
ในที่สุดแล้ว ความดีและความบริสุทธิ์จะเป็นเครื่องพิสูจน์ทุกสิ่ง หากวัดไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดจริง ย่อมสามารถยืนหยัดอยู่ได้บนความศรัทธาที่แท้จริง แต่หากมีการกระทำผิด ก็ต้องได้รับการลงโทษตามกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้สังคมได้เห็นว่า “ธรรมะยังคงอยู่เหนืออำนาจและเงินตรา” อย่างแท้จริง























