หิ้ว ‘เปรมชัย’ ฝากขังพร้อมพวก ปมตึก สตง.ถล่ม ผกก.ยันไม่สองมาตรฐาน
ดราม่าคดีอาคาร สตง. ถล่ม! ควบคุม 15 ผู้ต้องหาฝากขังศาลอาญารัชดา “เปรมชัย” ร่ำขอเดินทางแยกแต่ถูกปฏิเสธ – แจ้งข้อหาหนัก เสี่ยงโทษถึงจำคุก
เมื่อเวลา 13.00 น. ของวันที่ 16 พฤษภาคม 2568 ที่สถานีตำรวจนครบาลบางซื่อ เกิดความเคลื่อนไหวสำคัญในคดีใหญ่ที่ประชาชนให้ความสนใจเป็นวงกว้าง นั่นคือ คดีอาคารสำนักงานของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่ม ซึ่งเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตหลายราย และสร้างความเสียหายมูลค่ามหาศาลแก่รัฐและประชาชน
คุมตัวผู้ต้องหา 15 ราย ฝากขังผัดแรกศาลอาญา
พล.ต.อ.สนอง แสงมณี ผู้กำกับการ สน.บางซื่อ พร้อมด้วยคณะพนักงานสอบสวน ได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งหมด 15 ราย ซึ่งเกี่ยวข้องกับคดีการก่อสร้างอาคาร สตง. ที่เกิดเหตุการณ์ถล่มอย่างน่าสลด ไปฝากขังต่อศาลอาญารัชดา โดยใช้รถตู้ตำรวจติดโล่จำนวน 3 คัน ในการขนย้ายผู้ต้องหาทั้งหมดไปยังศาลเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย ซึ่งศาลพิจารณาฝากขังในผัดแรกเป็นเวลา 12 วัน ระหว่างรอการสอบสวนเพิ่มเติม
ผู้ต้องหาทั้ง 15 คนนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในโครงการก่อสร้าง ตั้งแต่ผู้บริหารระดับสูง วิศวกรโครงการ ผู้ควบคุมงาน และผู้รับเหมาช่วง โดยในจำนวนนี้ มีชื่อหนึ่งที่สื่อให้ความสนใจอย่างมาก คือ "นายเปรมชัย กรรณสูต" กรรมการผู้บริหารบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทผู้รับเหมารายใหญ่ที่มีบทบาทในงานก่อสร้างอาคาร สตง.
“เปรมชัย” ขอแยกเดินทางด้วยรถส่วนตัว แต่ตำรวจยืนยันต้องเท่าเทียม
ก่อนการนำตัวขึ้นรถตู้ มีรายงานว่านายเปรมชัยได้ร้องขอต่อเจ้าหน้าที่ให้เดินทางไปยังศาลอาญารัชดาโดยใช้รถยนต์ส่วนตัวของตนเอง พร้อมมีทนายความร่วมทาง โดยให้เหตุผลเรื่องความสะดวก และสภาพร่างกายที่ไม่แข็งแรง แต่คำขอดังกล่าวถูกปฏิเสธโดยเด็ดขาดจาก พ.ต.อ.สนอง ผู้กำกับ สน.บางซื่อ ที่ยืนยันว่า “ผู้ต้องหาทุกคนต้องได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันตามกฎหมาย ไม่มีข้อยกเว้นใด ๆ ทั้งสิ้น”
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายของนายเปรมชัย เจ้าหน้าที่จึงจัดหารถกระบะติดโล่ของ สน.บางซื่อ เพิ่มอีก 1 คัน ซึ่งมีลักษณะตัวรถเตี้ยกว่ารถตู้ เพื่อให้ง่ายต่อการขึ้น-ลงของผู้ต้องหา พร้อมทั้งมีการจัดเจ้าหน้าที่พยาบาลคอยดูแลอย่างใกล้ชิดระหว่างการเดินทาง
สื่อมวลชนกรูสัมภาษณ์กลางทาง แต่ “เปรมชัย” ปิดปากเงียบ
ขณะเจ้าหน้าที่กำลังเข็นรถวีลแชร์ของนายเปรมชัยขึ้นรถกระบะ สื่อมวลชนหลายสำนักต่างพากันยื่นไมค์สัมภาษณ์และสอบถามถึงความรู้สึกต่อเหตุการณ์อาคารถล่ม ความรับผิดชอบในฐานะผู้บริหาร และแสดงท่าทีว่าจะยอมรับความผิดหรือไม่ ทว่าผู้บริหารบริษัทดังกล่าวกลับไม่ตอบคำถามใด ๆ ทั้งสิ้น นั่งนิ่งและแสดงสีหน้าเรียบเฉยตลอดเวลา เจ้าหน้าที่ต้องช่วยกันพยุงขึ้นรถพร้อมส่งต่อไปยังศาล
แจ้งข้อหาหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 227 และ 238
พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหากับผู้ต้องหาทั้ง 15 รายในเบื้องต้น ฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 227 และ 238 ซึ่งระบุถึงความผิดของผู้มีวิชาชีพในการออกแบบ ควบคุม หรือทำการก่อสร้าง ซ่อมแซมหรือรื้อถอนอาคาร โดยไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์หรือวิธีการที่ควรปฏิบัติ และเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ผู้อื่น และนำไปสู่การเสียชีวิตของบุคคล
ซึ่งถือเป็นความผิดร้ายแรง มีโทษสูงถึงจำคุกหลายปี และอาจมีบทลงโทษเพิ่มเติมหากพบว่าเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อร้ายแรงหรือมีเจตนาแฝงเร้น
ค้านประกันตัว เหตุกระทบสาธารณชน-มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก
ทางเจ้าหน้าที่สอบสวนยังได้ยื่นคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหาทั้ง 15 ราย โดยให้เหตุผลว่าคดีนี้อยู่ในความสนใจของสาธารณชน เป็นคดีที่มีความร้ายแรง มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก และมูลค่าความเสียหายสูง จึงเกรงว่าหากได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว ผู้ต้องหาอาจหลบหนี หรือมีการไปยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐานที่อยู่ระหว่างการรวบรวม
แม้ในขณะเดียวกันจะมีรายงานว่า ญาติของผู้ต้องหาหลายราย ได้จัดเตรียมหลักทรัพย์เป็นเงินสดคนละ 300,000 บาท เพื่อยื่นขอประกันตัวต่อศาลก็ตาม แต่ทางฝ่ายพนักงานสอบสวนยังยืนยันการคัดค้านการประกันตัวอย่างแน่วแน่
อีก 2 ผู้ต้องหายังไม่มอบตัว อ้างเตรียมเอกสารประกันไม่ทัน
ในส่วนของผู้ต้องหาอีก 2 รายที่ยังไม่เดินทางเข้ามอบตัว คือ นายพลเดช เทิดพิทักษ์วานิช อายุ 56 ปี (ผู้ต้องหาลำดับที่ 9) และ นางปราณีต แสงอลังการ อายุ 63 ปี ทั้งคู่ได้มอบหมายให้ทนายความยื่นคำร้องต่อพนักงานสอบสวน ขอเลื่อนการเข้ามอบตัวออกไปเป็นวันที่ 19 พฤษภาคม โดยให้เหตุผลว่าอยู่ระหว่างการจัดเตรียมเอกสารหลักทรัพย์ในการประกันตัว ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้อนุญาตตามคำขอดังกล่าว แต่ยืนยันว่าจะต้องนำตัวทั้งสองรายไปฝากขังตามกระบวนการในวันที่กำหนด
สังคมจับตา “คดีสตง.ถล่ม” กับคำถามเรื่องความรับผิดชอบ
คดีนี้นับเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่ทำให้ประชาชนตั้งคำถามถึงระบบการก่อสร้างอาคารในประเทศไทยอย่างมากมาย ทั้งในแง่ของมาตรฐานวิศวกรรม การควบคุมงานของผู้รับเหมา และการตรวจสอบจากหน่วยงานภาครัฐ การที่อาคารของหน่วยงานระดับประเทศ เช่น สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ซึ่งมีบทบาทสำคัญด้านการตรวจสอบและป้องกันการทุจริต กลับถล่มลงจนทำให้มีผู้เสียชีวิต นำไปสู่ความไม่ไว้วางใจ และความรู้สึกผิดหวังของประชาชน
ขณะเดียวกัน คำถามสำคัญที่สังคมยังคงจับตามองคือ ความรับผิดชอบของผู้บริหารระดับสูง เช่น นายเปรมชัย และผู้มีบทบาทเกี่ยวข้องกับการก่อสร้าง จะถูกดำเนินคดีอย่างตรงไปตรงมาหรือไม่ หรือจะมีการยกเว้นด้วยเหตุผลใด ๆ ซึ่งอาจสร้างบรรทัดฐานอันตรายให้กับกระบวนการยุติธรรมในอนาคต
การควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 15 รายในคดีอาคาร สตง. ถล่ม พร้อมการแจ้งข้อหาอาญาร้ายแรงและการคัดค้านการประกันตัว เป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่าระบบยุติธรรมไทยยังคงให้ความสำคัญกับความเสมอภาคและความยุติธรรม แม้ผู้ต้องหาจะเป็นนักธุรกิจชื่อดังหรือผู้มีอิทธิพลในวงการก่อสร้างก็ตาม
อย่างไรก็ดี สิ่งที่สังคมคาดหวังมากที่สุดในตอนนี้คือ การดำเนินคดีอย่างโปร่งใส ยุติธรรม และให้ผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบต้องรับโทษตามที่กฎหมายกำหนด เพื่อไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมเช่นนี้ซ้ำรอยอีกในอนาคต

















