ยักษ์ใหญ่อุตฯ ยานยนต์ปิดสายพานผลิต 7 แห่ง เลิกจ้างพนักงานกว่า 20,000 คน ไทยไม่รอด!
Nissan ปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ทั่วโลก ปิดโรงงาน-ปลดพนักงาน 2 หมื่นคน หลังขาดทุนยับกว่า 1.5 แสนล้านบาท
Nissan Motor บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ ได้ประกาศแผนฟื้นฟูและปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ หลังผลประกอบการประจำปีล่าสุดเข้าสู่ภาวะขาดทุนอย่างหนัก โดยบริษัทขาดทุนสุทธิกว่า 6.7 แสนล้านเยน หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 150,000 ล้านบาท นับเป็นการขาดทุนครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี
ภายใต้แผนฟื้นฟูนี้ นิสสันตั้งเป้าลดต้นทุนอย่างมีนัยสำคัญ โดยจะปิดโรงงาน 7 แห่งจากทั้งหมด 17 แห่งทั่วโลก และปลดพนักงานราว 20,000 คน ซึ่งคิดเป็นประมาณ 15% ของพนักงานทั้งหมดของบริษัท ถือเป็นการปรับโครงสร้างที่ส่งผลกระทบในระดับโลก โดยเฉพาะในประเทศที่เป็นฐานการผลิตสำคัญ
ซีอีโอใหม่เร่งเดินหน้าปรับเกม หวังพลิกฟื้นธุรกิจภายใน 3 ปี
ผู้นำคนใหม่ของบริษัท อีวาน เอสปิโนซา (Ivan Espinosa) ผู้ซึ่งเพิ่งเข้ารับตำแหน่งประธานและซีอีโอของ Nissan เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ได้เข้ามาเป็นหัวเรือใหญ่ในการผลักดันการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ โดยเขาระบุว่า ปีงบประมาณ 2568 จะเป็น “ปีแห่งการเปลี่ยนผ่าน” ของนิสสัน และบริษัทจะต้องเร่งปรับโครงสร้างให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดโลก
ภายใต้แผนยุทธศาสตร์นี้ บริษัทตั้งเป้าจะลดต้นทุนคงที่ลงอย่างน้อย 500,000 ล้านเยน ภายในสิ้นปี 2570 ผ่านหลายมาตรการ ทั้งการปิดโรงงาน การเลิกจ้างพนักงาน การปรับปรุงห่วงโซ่อุปทาน การปรับโครงสร้างสายการผลิต รวมถึงการออกแบบชิ้นส่วนใหม่ให้เรียบง่ายและประหยัดยิ่งขึ้น
ตลาดหลักทรุด! ยอดขายสหรัฐ-จีนตกต่ำ ฉุดผลประกอบการดิ่ง
สาเหตุสำคัญที่ทำให้ Nissan ต้องเร่งดำเนินแผนฟื้นฟูในครั้งนี้ มาจากยอดขายที่ลดลงอย่างมากในตลาดหลัก โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาและจีน ซึ่งเป็นสองตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในขณะที่ปีก่อนหน้านี้ (ปีงบประมาณ 2566) บริษัทเคยมีกำไรสุทธิมากถึง 426,000 ล้านเยน แต่ในปีล่าสุดกลับกลายเป็นขาดทุนมหาศาล
นอกจากนี้ บริษัทยังประสบปัญหาทางบัญชีจากรายการด้อยค่าทรัพย์สินในหลายภูมิภาค เช่น อเมริกาเหนือ ละตินอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น ซึ่งส่งผลให้ตัวเลขกำไรจากการดำเนินงานลดลงถึง 88% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยอยู่ที่เพียง 6.98 หมื่นล้านเยน และที่สำคัญคือบริษัทจะงดจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นเป็นปีที่สองติดต่อกัน
ปิดโรงงาน-ย้ายสายการผลิตทั่วโลก ไทย-บราซิลรับบทฐานใหม่
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญในแผนปรับโครงสร้างของนิสสันคือการปรับฐานการผลิต โดยมีการพิจารณาควบรวมสายการผลิตในประเทศไทย และเตรียมย้ายสายการผลิตจากอาร์เจนตินาไปยังประเทศบราซิล ซึ่งมีต้นทุนการผลิตที่ถูกกว่าและมีศักยภาพในตลาดละตินอเมริกา
ในขณะเดียวกัน Nissan กำลังอยู่ระหว่างการประเมินโรงงานในประเทศอื่นๆ รวมถึงโรงงานในญี่ปุ่น เพื่อหาวิธีเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้ได้มากที่สุด
แผนคล้ายปี 2542 ที่เคยปลดพนักงานกว่า 2 หมื่นคนช่วงวิกฤตการเงิน
การฟื้นฟูในครั้งนี้ทำให้นักวิเคราะห์เปรียบเทียบกับการปฏิรูปครั้งใหญ่เมื่อปี 2542 ซึ่งในขณะนั้น Nissan ต้องเผชิญกับวิกฤตการเงินเช่นกัน จนนำไปสู่การปลดพนักงานถึง 21,000 คน และการปิดโรงงานหลายแห่งในญี่ปุ่น ภายใต้การนำของคาร์ลอส กอส์น อดีตซีอีโอชื่อดังที่เคยพลิกวิกฤตของนิสสันให้กลายเป็นกำไรอย่างยั่งยืนในเวลานั้น
อย่างไรก็ตาม คราวนี้สถานการณ์แตกต่างออกไป เนื่องจากโลกกำลังเผชิญความท้าทายใหม่ ทั้งภาวะเงินเฟ้อ การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า (EV) และนโยบายกีดกันทางการค้าในหลายประเทศ
แผนส่งออกรถยนต์จากจีน-รับมือต้นทุนและภาษีทั่วโลก
อีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญของนิสสันคือ การพิจารณาส่งออกรถยนต์ที่ผลิตในประเทศจีนไปยังประเทศอื่น ๆ มากขึ้น เพื่อรับมือกับต้นทุนที่สูงขึ้นและการเปลี่ยนแปลงของภาษีนำเข้าทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่หลายประเทศมีแนวโน้มตั้งกำแพงภาษีเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ
เจอแรงกดดันจากภาษีสหรัฐฯ ปรับแผนเพิ่มการผลิตในประเทศแทน
ในขณะเดียวกัน Nissan ก็ต้องรับมือกับนโยบายภาษีนำเข้ารถยนต์ 25% ของสหรัฐฯ ซึ่งยังคงมีผลต่อเนื่องจากยุคของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งภาษีนี้ส่งผลกระทบอย่างชัดเจนต่อรถยนต์ที่ผลิตในญี่ปุ่นและเม็กซิโก และคาดว่าผลกระทบรวมในปีนี้อาจสูงถึง 450,000 ล้านเยน
เพื่อบรรเทาผลกระทบ บริษัทจึงปรับแผนเพิ่มการผลิตภายในสหรัฐอเมริกาแทน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงจากภาษีและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดอเมริกาเหนือ
ยุติแผนควบรวมนิสสัน-ฮอนด้า แต่ยังเปิดทางพันธมิตรใหม่
ก่อนหน้านี้มีข่าวลือว่านิสสันอาจจะควบรวมกิจการกับฮอนด้า มอเตอร์ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในช่วงวิกฤต แต่แผนการเจรจาดังกล่าวได้ถูกยุติลงตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม เอสปิโนซา ซีอีโอคนใหม่ ยืนยันว่า บริษัทยังคงเปิดกว้างสำหรับความร่วมมือกับพันธมิตรรายใหม่ โดยเฉพาะพันธมิตรจากนอกอุตสาหกรรมยานยนต์ เช่น เทคโนโลยี หรือพลังงานสะอาด เพื่อเสริมศักยภาพในยุคที่อุตสาหกรรมยานยนต์กำลังเปลี่ยนผ่านสู่โลกดิจิทัลและรถยนต์พลังงานไฟฟ้า
ศึกใหญ่ของ Nissan กับยุคเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์
การปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ของ Nissan ในครั้งนี้สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้งในอุตสาหกรรมยานยนต์โลก บริษัทไม่เพียงต้องต่อสู้กับปัญหาภายในอย่างการขาดทุนและต้นทุนที่สูงขึ้นเท่านั้น แต่ยังต้องเผชิญกับแรงกดดันจากภายนอก ทั้งจากนโยบายการค้าระหว่างประเทศ ความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค และการเปลี่ยนผ่านสู่รถยนต์พลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ
ในช่วงเวลาสำคัญนี้ การตัดสินใจที่กล้าหาญของผู้บริหารและการสนับสนุนจากพนักงาน พันธมิตร และลูกค้า จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ชี้ชะตาว่า Nissan จะสามารถพลิกสถานการณ์กลับมาเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์โลกได้อีกครั้งหรือไม่





















