ประธานาธิบดีที่ยากจนที่สุดในโลกเสียชีวิตแล้ว!!
วันนี้ [ตามเวลาท้องถิ่น] ประชาชนจากทั่วละตินอเมริกา ต่างแสดงความอาลัยต่อการเสียชีวิตของอดีตประธานาธิบดี "โฮเซ่ เปเป้ มูฮีก้า" หรือ "โฮเซ่ มูฮีก้า" โดยเขาเสียชีวิตในวัย 89 ปี จากโรคมะเร็งระยะลุกลาม หลังจากติดคุกมานานถึง 12 ปีด้วยกัน โดยคำพูดสุดท้ายของเขา คือ "ผมขอฝังร่างของผม ไว้ที่ฟาร์มของผม ข้างๆสุนัขที่ตายไปก่อนหน้านี้"
"โฮเซ่ มูฮีก้า" เป็นอดีตนักรบกองโจรฝ่ายซ้าย ที่ได้รับเคารพนับถือจากประชาชนชาวอุรุกวัก เนื่องจากความสมถะของเขา และ ยุคที่เขาบริหารบ้านเมือง ซึ่งทำให้ประเทศเจริญอย่างรวดเร็ว...
ประธานาธิบดีคนปัจจุบันของอุรุกวัย "ยามานดู ออร์ซี" โพสต์บน X ว่า "ด้วยความโศกเศร้าอย่างสุดซึ้ง เราขอแจ้งข่าวการจากไปของ "เปเป้ มูฮีก้า" สหายของเรา ประธานาธิบดี นักรณรงค์ ผู้ชี้ทาง และ ผู้นำ เราจะคิดถึงคุณมาก สหายเก่าของฉัน..."
"เปเป้ มูฮีก้า" ได้รับฉายาว่า "ประธานาธิบดีที่ยากจนที่สุดในโลก" ระหว่างดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ในปี 2010-2015 จากการบริจาคเงินเดือนส่วนใหญ่ให้กับการกุศล และ ใช้ชีวิตเรียบง่าย ภายในฟาร์มของเขากับเมีย ที่เป็นอดีตนักรบกองโจร พร้อมกับสุนัข 3 ขา...
รัฐบาลประกาศไว้อาลัยทั่วประเทศ เป็นระยะเวลา 3 วัน และ ระบุว่าร่างของเขาจะถูกนำไปยังทำเนียบของสภานิติบัญญัติในวันนี้ [ตามเวลาท้องถิ่น] เพื่อสวดภาวนาเป็นอนุสรณ์...
นักเคลื่อนไหวที่เคยร่วมรบในกองโจร ได้ออกมารวมตัวกันที่หน้าสำนักงานใหญ่ของพรรคที่ "เปเป้ มูฮีก้า" เคยสังกัดอยู่ เพื่อทำป้ายขนาดใหญ่ที่มีข้อความว่า "Hasta siempre, viejo querido" ซึ่งแปลว่า "ลาก่อนนะ สหายเก่า..."
ผู้นำฝ่ายซ้ายจากทั่วละตินอเมริกาและยุโรป ต่างก็ยกย่อง "เปเป้ มูฮีก้า" โดยประธานาธิบดีเม็กซิโกอย่าง "คลอเดีย เชนบาวม์" ได้ออกมากล่าวว่า "เขาตัวอย่างของละตินอเมริกาและทั้งโลก!!"
พนักงานเสิร์ฟ "วอลเตอร์ ลารุส" วัย 53 ปี จากร้านกาแฟ "เมดิสัน" ซึ่งเป็นร้านกาแฟเล็กๆ ริมถนนในใจกลางเมืองมอนเตวิเดโอ กล่าวว่า ""เปเป้ มูฮีก้า" เขามักจะแวะเข้ามาทานสเต็กอยู่บ่อยครั้ง ในขณะที่เขาเป็นนักการเมืองและเป็นผู้นำประเทศ" และ "เขาใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดาทั่วไป ไม่ใช่เหมือนนักการเมืองที่มีในปัจจุบัน ซึ่งดูร่ำรวยและแบ่งชนชั้น"
ในปี 2012 "เปเป้ มูฮีก้า" กล่าวปฏิเสธว่าเขาเป็นคนจน โดยกล่าวว่า "ชีวิตของเขาเป็นเพียง ชีวิตที่ประหยัดกว่าคนปกติหน่อยหนึ่ง" และ "ผมแทบไม่ต้องการอะไรมากเลย เพื่อดำรงชีวิตในแต่ละวัน"
เขาเปลี่ยนอุรุกวัย ที่มีแต่ดินแดนรกร้าง และล้าหลังสุดๆ ให้กลายเป็นประเทศที่เจริญรุ่งเรือง และ มีประชากร 3.4 ล้านคน ซึ่งมีชื่อเสียงจากฟุตบอลและปศุสัตว์ จนทำให้อุรุกวัยกลายเป็นสังคมที่ก้าวหน้าที่สุดแห่งหนึ่ง ในละตินอเมริกา...
ในช่วงบั้นปลายชีวิต "เปเป้ มูฮีก้า" ผิดหวังกับความเผด็จการของรัฐบาลฝ่ายซ้ายบางกลุ่ม โดยเขากล่าวหาผู้นำที่กดขี่ในเวเนซุเอลาและนิการากัวว่า "พวกคุณทำให้ทุกอย่างยุ่งเหยิงไปหมด" แล้วหลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้รับการวินิจฉัยว่า เป็นมะเร็งหลอดอาหาร และ มะเร็งได้ลามไปที่ตับแล้ว...
ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ "เปเป้ มูฮีก้า" อยู่ในอำนาจ เขาได้ทำให้การทำแท้งและการแต่งงานของคู่รักเพศเดียวกันถูกกฎหมาย และ ทำให้อุรุกวัยเป็นประเทศแรก ที่ทำให้การใช้กัญชาเพื่อการสันทนาการถูกกฎหมาย เขาเดินหน้ารณรงค์หาเสียงให้กับฝ่ายซ้ายต่อไป หลังจากที่ตรวจพบมะเร็ง โดยทำงานอย่างหนัก เพื่อให้การรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งของ "ออร์ซี" ครูสอนประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นทายาททางการเมืองของเขาประสบความสำเร็จ
อดีตประธานาธิบดีโบลิเวีย "อีโว โมราเลส" กล่าวยกย่อง "เปเป้ มูฮีก้า" ว่า "เขาเป็นนักมนุษยนิยมที่สำคัญที่สุดคนหนึ่งในยุคของเรา"
นายกรัฐมนตรี "เปโดร ซานเชซ" ของสเปนกล่าวว่า "เขาได้ใช้ชีวิต เพื่อโลกที่ดีกว่า"






















