สลด! แฟนหนุ่มน้องโฟกัสรับสารภาพ ทั้งน้ำเสียงและเหตุผลบาดใจคนฟัง
“โศกนาฏกรรมรักมรณะ” ปิดฉากชีวิตน้องโฟกัส ม.6 กลางท้องนา วันรับวุฒิ กลายเป็นวันสุดท้ายของชีวิต ปมรัก-หึงหวง ลูกชายนักการเมืองท้องถิ่นกลายเป็นผู้ต้องหา
(3 เมษายน 2568) – ประเทศไทยต้องสะเทือนใจอีกครั้ง กับข่าวการเสียชีวิตของเยาวชนหญิงในวัยเรียน ที่กำลังจะก้าวสู่อนาคตใหม่ กลับต้องจบชีวิตลงอย่างน่าสลดกลางทุ่งนา จังหวัดชัยนาท เหตุการณ์เริ่มต้นเมื่อเวลาประมาณ 19.30 น. ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งพบศพหญิงสาวเสียชีวิตในท้องนาริมถนนสายหนึ่ง พื้นที่อำเภอหันคา จังหวัดชัยนาท ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า และคำถามมากมายถึงสาเหตุที่แท้จริงของโศกนาฏกรรมครั้งนี้
ผู้เสียชีวิตคือ “น้องโฟกัส” นักเรียนหญิงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนชื่อดังในพื้นที่ ซึ่งในวันเกิดเหตุ เป็นวันที่โรงเรียนจัดพิธีมอบวุฒิการศึกษาให้กับนักเรียนที่จบการศึกษา แต่ปรากฏว่าน้องโฟกัสไม่ได้มาร่วมงาน และครอบครัวไม่สามารถติดต่อเธอได้ตั้งแต่ช่วงเช้า ก่อนจะมาพบว่าเธอเสียชีวิตในช่วงเย็น สภาพศพนอนหงายอยู่กลางทุ่งนา มีบาดแผลฉกรรจ์บริเวณศีรษะ คล้ายถูกของแข็งกระหน่ำตี โดยไม่มีร่องรอยการต่อสู้
การสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.หันคา เริ่มต้นทันที โดยได้ข้อมูลจากเพื่อนสนิทและครอบครัวของน้องโฟกัสว่า ก่อนหน้านี้เธอมีปัญหาทะเลาะกับแฟนหนุ่มที่คบกันมาระยะหนึ่ง โดยแฟนหนุ่มคนดังกล่าวคือ “แฟร้งค์” ลูกชายนักการเมืองท้องถิ่นชื่อดังในจังหวัดชัยนาท ซึ่งทั้งสองคนมีความสัมพันธ์กันมาระยะหนึ่ง แต่ช่วงหลังมีปัญหาเรื่องความหึงหวงบ่อยครั้ง กระทั่งน้องโฟกัสตัดสินใจขอเลิก
พยานแวดล้อมเปิดเผยว่า น้องโฟกัสเคยปรึกษาเพื่อนหลายครั้งว่ากำลังเครียดจากความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่น และรู้สึกกดดันกับพฤติกรรมควบคุมของแฟนหนุ่มที่มักไม่พอใจเวลาเธอไปไหนมาไหนโดยไม่บอก หรือคุยกับเพื่อนผู้ชาย แม้กระทั่งบางครั้งถูกบังคับให้แสดงความรักผ่านโซเชียลเพื่อยืนยันความเป็นเจ้าของ
หลังจากน้องโฟกัสหายตัวไปไม่กี่ชั่วโมง ตำรวจได้เบาะแสจากกล้องวงจรปิดในหมู่บ้านว่าเธอถูกพบขึ้นรถจักรยานยนต์ของชายหนุ่มคนหนึ่งก่อนหายตัวไป จากนั้นไม่นาน เจ้าหน้าที่ได้ขอหมายค้นและติดตามตัว “แฟร้งค์” มาสอบสวน โดยในช่วงแรกเขาปฏิเสธเสียงแข็งว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง พร้อมอ้างว่าไม่ได้เจอกับน้องโฟกัสในวันนั้น
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ไม่ปักใจเชื่อ และเดินหน้าสืบสวนต่อจนกระทั่งพบหลักฐานชิ้นสำคัญ ได้แก่ รถจักรยานยนต์คันที่ปรากฏในกล้องวงจรปิด เสื้อผ้าที่มีคราบเลือดและดินโคลนเปื้อนติดอยู่ และโทรศัพท์มือถือของน้องโฟกัสที่ถูกโยนทิ้งในพงหญ้าใกล้จุดเกิดเหตุ ซึ่งเมื่อถูกตรวจสอบแล้วพบข้อความสนทนาและพิกัดสุดท้ายที่บ่งชี้ว่าทั้งสองมีนัดพบกันในช่วงเย็นวันเดียวกัน
เมื่อหลักฐานมัดแน่น “แฟรังค์” ยอมเปิดปากรับสารภาพว่าเป็นผู้ลงมือทำร้ายร่างกายน้องโฟกัสจนเสียชีวิต โดยอ้างว่าเกิดจากอารมณ์ชั่ววูบ เพราะความหึงหวงที่น้องโฟกัสขอเลิก และพูดจาตัดเยื่อใยในลักษณะที่เขารับไม่ได้ อีกทั้งยอมรับว่ามีอาการมึนเมาในขณะเกิดเหตุ
เจ้าหน้าที่ตำรวจเปิดเผยว่า “แฟรังค์” พยายามจะทำลายหลักฐานด้วยการโยนเสื้อผ้าและโทรศัพท์ทิ้ง แต่ไม่สามารถหลบหนีไปได้ไกลเนื่องจากถูกติดตามอย่างใกล้ชิด และเมื่อถูกควบคุมตัว พ่อของผู้ต้องหา ซึ่งเป็นนักการเมืองท้องถิ่นชื่อดัง ได้เข้ามาแสดงความไม่เชื่อว่าลูกชายจะเป็นคนก่อเหตุ พร้อมกล่าวว่า “ลูกชายเป็นเด็กดี เชื่อฟัง ไม่เคยมีพฤติกรรมรุนแรง”
อย่างไรก็ตาม คำพูดของพ่อไม่อาจต้านทานหลักฐานที่ชี้ชัดว่า “แฟรังค์” มีส่วนเกี่ยวข้องเต็มประตู เจ้าหน้าที่จึงดำเนินคดีในข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนา และเตรียมส่งฟ้องศาลในเร็ววัน
ในขณะที่ครอบครัวของน้องโฟกัสอยู่ในอาการเศร้าโศกอย่างหนัก แม่ของผู้เสียชีวิตเผยว่า ไม่เคยคาดคิดว่าชีวิตของลูกสาวจะต้องมาจบลงเช่นนี้ ในวันที่ควรเป็นวันแห่งความภาคภูมิใจ แต่กลับต้องกลายเป็นวันที่ใจสลาย พร้อมเรียกร้องความยุติธรรม และอยากให้คดีนี้เป็นอุทาหรณ์สำหรับสังคม ถึงภัยของความรักที่มี “ความรุนแรง” แฝงอยู่
ชาวบ้านในพื้นที่เองก็แสดงความตกใจ เพราะรู้จักครอบครัวของทั้งสองฝ่ายเป็นอย่างดี และไม่คาดคิดว่าลูกหลานของบ้านที่มีชื่อเสียงและมีฐานะจะก่อเหตุร้ายแรงเช่นนี้ โดยหลายคนแสดงความกังวลเกี่ยวกับปัญหาความรุนแรงในวัยรุ่นที่เพิ่มมากขึ้น และเรียกร้องให้มีการส่งเสริมเรื่องสุขภาพจิตและความสัมพันธ์ที่ดีตั้งแต่วัยเรียน
กรณีนี้ไม่เพียงแต่สร้างความสลดใจให้กับคนในจังหวัดชัยนาทเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในโลกออนไลน์ โดยมีแฮชแท็ก #ความรักไม่ควรฆ่า และ #น้องโฟกัส ติดเทรนด์ในทวิตเตอร์ตลอดทั้งคืน หลายคนออกมาแสดงความคิดเห็นว่า “ความรักที่แท้จริง ไม่ควรมีการใช้กำลัง” และ “ขอให้การจากไปของน้องโฟกัส เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงในสังคม”
เรื่องราวของน้องโฟกัส เป็นเครื่องเตือนใจว่า ความรักในวัยรุ่น หากขาดการเรียนรู้เรื่องการเคารพซึ่งกันและกัน ขาดสติ และมีอารมณ์เป็นใหญ่ อาจนำไปสู่โศกนาฏกรรมที่ไม่มีวันย้อนคืนได้อีก
อ้างอิงจาก: ภาพจาก เพจเฟซบุ๊ก อีซ้อขยี้ข่าว






















