ดูเหมือนว่าข้อตกลงหยุดยิง ระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน จะมีผลบังคับใช้แล้ว
การเผชิญหน้าทางทหารโดยตรง ระหว่างอิหร่านและอิสราเอลเมื่อเร็วๆนี้ และ การโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่านของอเมริกา ได้จุดประกายให้เกิดการปรับสมดุลทางภูมิรัฐศาสตร์ ในตะวันออกกลางที่กว้างขึ้น ตั้งแต่อิสลามาบัดไปจนถึงอังการา เมืองหลวงต่างๆทั่วเอเชียตะวันตก กำลังทบทวนกลยุทธ์อย่างเร่งด่วน หลังจากเหตุการณ์ร้ายแรงในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายในความขัดแย้งที่ยาวนานหลายทศวรรษในภูมิภาคนี้ กำลังประเมินตำแหน่งของตนเองอีกครั้ง และ พยายามทำความเข้าใจว่า มหาอำนาจและประเทศอื่นๆในภูมิภาคยืนอยู่ตรงไหน? บทเรียนที่สำคัญที่สุดที่เตหะรานและเทลอาวีฟได้เรียนรู้จากการเผชิญหน้าครั้งนี้ จะหล่อหลอมพลวัตทางอำนาจที่เกิดขึ้นใหม่ทั่วทั้งภูมิภาค
สงครามที่กินเวลานาน 12 วัน ได้พลิกโฉมการต่อสู้ระหว่าง 2 ฝ่าย ด้วยการแอบแฝงและตัวแทนซึ่งกำลังคุกรุ่น กลายเป็นสงครามการบั่นทอนกำลังโดยตรง ซึ่งเป็นครั้งแรกของอิหร่าน นับตั้งแต่สงครามอิหร่าน-อิรัก เป็นเวลา 3 ทศวรรษแล้ว ที่สาธารณรัฐอิสลามต้องพึ่งพากองกำลังติดอาวุธต่างๆ ในความขัดแย้งอันยืดเยื้อกับทั้งอิสราเอลและอเมริกา แต่เมื่อสงครามมาถึงจุดจบ โดยอิสราเอลโจมตีโดยตรงและอเมริกา โจมตีโรงงานนิวเคลียร์อันล้ำค่าของอิหร่านโดยตรง ก็เริ่มเห็นได้ชัดว่าไม่มีกองทัพอากาศ ที่สามารถป้องกันน่านฟ้าของอิหร่านได้
ถึงแม้ว่านี่อาจเป็นผลจากการคว่ำบาตรยาวนานหลายทศวรรษ ที่จำกัดการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ของอิหร่าน แต่ข้อเท็จจริงที่ว่ากองทัพอากาศอิหร่าน ไม่ได้โจมตีเครื่องบินขับไล่ของอิสราเอล เมื่อเข้าสู่น่านฟ้าของอิหร่าน นั้นส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ ต่อการฟื้นฟูกิจการนิวเคลียร์ของอิหร่าน หลังการหยุดยิง เตหะรานจะต้องคำนึงถึงความเหนือกว่าทางอากาศของอิสราเอล ในขณะที่พยายามหาวิธีควบคุมน่านฟ้าของตนอีกครั้ง
ในทางการเมือง อิหร่านกำลังเผชิญกับคำถามที่สำคัญที่สุดในขณะนี้ "ควรแสวงหาเกราะป้องกันนิวเคลียร์ เพื่อความมั่นคงของระบอบการปกครองหรือไม่?"
เป็นเวลาเกือบ 3 ทศวรรษที่ผู้นำอิหร่าน เล่นกับแนวคิดเรื่อง "ความล่าช้าของนิวเคลียร์" หรือ "เกณฑ์นิวเคลียร์" นั่นคือการวางรากฐานของศักยภาพนิวเคลียร์ ที่จะทำให้พวกเขาสามารถมุ่งหน้าสู่อาวุธนิวเคลียร์ได้ทุกครั้ง ที่มีการตัดสินใจทางการเมือง การโจมตีของอเมริกาและอิสราเอล มีจุดมุ่งหมายเพื่อทำลายเส้นทางระเบิดหนึ่งเส้นทาง นั่นคือ "การเสริมสมรรถนะยูเรเนียม" ซึ่งอิหร่านได้ลงทุนไปในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีใครทราบ ขอบเขตของผลกระทบต่อโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่าน
ในทางกลับกัน สำหรับเทลอาวีฟ การเปลี่ยนแปลงเป้าหมายทางการเมือง ถือเป็นความท้าทายต่อกลยุทธ์ทางการทหาร การเปลี่ยนจากการขัดขวางโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน ไปสู่การแสวงหาการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง ทำให้ความสามารถของกองทัพอิสราเอล ในการบรรลุเป้าหมายโดยใช้กำลังทางอากาศเพียงอย่างเดียว และ การสร้างความขัดแย้งภายในโครงสร้างการตัดสินใจของอิหร่านมีจำกัด การเปลี่ยนแปลงนี้ยังทำให้เพื่อนบ้านในอ่าวเปอร์เซีย ทั้งอิหร่านและอิสราเอลรู้สึกไม่สบายใจ เนื่องจากทำให้ความทรงจำเกี่ยวกับสงครามอิรัก ในปี 2003 กลับมาอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ในฐานะผู้รุกราน อิสราเอลไม่สามารถโจมตีโรงงานเสริมสมรรถนะนิวเคลียร์ฟอร์โดว์ได้เพียงฝ่ายเดียว และ ต้องพึ่งวอชิงตันในการโจมตี การพึ่งพาอาศัยนี้ทำให้รัฐบาลทรัมป์มีอำนาจทางการเมืองเหนืออิสราเอล เนื่องจากต้องการบังคับใช้ข้อตกลงหยุดยิง ระหว่างอิสราเอลและอิหร่านและโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อให้แน่ใจว่าอิสราเอลปฏิบัติตาม
นอกจากนี้ อิสราเอลยังมองตนเองว่าเป็น "กองทัพที่มีอำนาจเหนือกว่าในตะวันออกกลาง" ซึ่งการประกาศดังกล่าวอาจก่อให้เกิดความไม่สบายใจ ในเมืองหลวงอื่นๆในภูมิภาคอาหรับ
ระหว่างสงคราม 12 วัน ผู้นำที่วิตกกังวลมากที่สุด อยู่ในภูมิภาคอ่าวเปอร์เซีย เป็นเวลาหลายทศวรรษที่รัฐอ่าวเปอร์เซีย อาศัยร่มเงาความมั่นคงของอเมริกา และ อิทธิพลทางการเมืองในกรุงวอชิงตัน เพื่อส่งเสริมผลประโยชน์ทางการเมืองและความมั่นคงของตน ในช่วงเวลานี้ ทั้งรัฐอ่าวเปอร์เซียและอิสราเอล ต่างรับรู้ถึงภัยคุกคามร่วมกัน จากความทะเยอทะยาน ในภูมิภาคของอิหร่าน
อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ได้พยายามหาทางรักษาความสัมพันธ์กับอิหร่าน และ แสวงหาการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ความสมดุลอันบอบบางนี้ถูกรบกวนจากสงครามครั้งนี้ ในขณะที่อ่าวเปอร์เซียกำลังเผชิญกับภัยคุกคามใหม่ นั่นคือคำเตือนของอิหร่าน เกี่ยวกับการโจมตีฐานทัพของอเมริกาในภูมิภาค และ หลังการหยุดยิง อ่าวเปอร์เซียต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่น่ากังวล หลายประการตามมา...
ในช่วงสงคราม ความทะเยอทะยานของอิสราเอล ในการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง ทำให้ผู้นำในอ่าวเปอร์เซียหวั่นไหว แม้ว่าประเทศในอ่าวเปอร์เซียจะคัดค้าน ที่อิหร่านมีอาวุธนิวเคลียร์ก็ตาม แต่ความเป็นไปได้ของความขัดแย้งทางการเมือง ก็ทำให้ผู้นำในภูมิภาควิตกกังวลเช่นกัน การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่มั่นคงจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ในประเทศที่มีทหารที่ผ่านการฝึกฝนเกือบครึ่งล้านนาย? ซึ่งสูญญากาศทางอำนาจอาจส่งผล ทำให้เกิดสงครามกลางเมืองนองเลือด กองกำลังอิสราเอลหรืออเมริกาจะมุ่งมั่นที่จะสู้รบภาคพื้นดิน เพื่อสนับสนุนกลุ่มฝ่ายค้านหรือไม่? และ หากเกิดความไม่สงบทางการเมืองขึ้น อิหร่านจะรักษาคลังวัสดุและเทคโนโลยีนิวเคลียร์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไร?
ประเทศในอ่าวเปอร์เซียและเพื่อนบ้านอื่นๆของอิหร่าน หวาดกลัวต่อแนวโน้มของการจลาจลภายในอิหร่านที่ยืดเยื้อ เนื่องจากอาจส่งผลให้กองกำลังที่มีอำนาจตัดสินใจ จากทั่วภูมิภาคเกิดการแตกแยก นอกจากนี้ ความไม่มั่นคงทางการเมืองในอิหร่าน อาจส่งผลให้ประชาชนจำนวนมาก อพยพไปยังอ่าวเปอร์เซียและยุโรป ในขณะเดียวกันก็อาจก่อให้เกิดความรุนแรง จากกลุ่มหัวรุนแรงระลอกใหม่
สำหรับมหาอำนาจอย่างอเมริกา รัสเซีย และ จีน ภูมิรัฐศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงไปของตะวันออกกลาง มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อกลยุทธ์ระดับโลกของพวกเขา สำหรับอเมริกาซึ่งเป็นทั้งผู้มีส่วนร่วมในความขัดแย้งในปัจจุบัน และ อำนาจภายนอกที่มีอิทธิพลต่อพลวัตในภูมิภาค ความท้าทายที่สำคัญคือการหลีกเลี่ยง การพัวพันครั้งใหม่ในตะวันออกกลาง
จุดเน้นทางยุทธศาสตร์หลักของวอชิงตัน ยังคงอยู่ที่ภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก และ ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อในตะวันออกกลาง จะเป็นเพียงการเบี่ยงเบนความสนใจที่ไม่พึงประสงค์เท่านั้น ในตอนนี้ ความสนใจหลักของอเมริกา อยู่ที่การรักษาอิหร่านที่อ่อนแอและไม่มีอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งจะทำให้พันธมิตรในอ่าวเปอร์เซียสามารถกระชับความสัมพันธ์กับอิสราเอลได้ ทั้งวอชิงตันโดยทั่วไปและโดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายบริหารของทรัมป์ ต่างก็สนับสนุนตะวันออกกลาง ที่ได้รับการหล่อหลอมโดยข้อตกลงอับราฮัม โดยส่งเสริมการคืนดีระหว่างอิสราเอลและประเทศอาหรับสำคัญๆ ในขณะที่หลีกเลี่ยงปัญหาที่สร้างความแตกแยกอย่างปาเลสไตน์เป็นส่วนใหญ่
วิสัยทัศน์แห่งสันติภาพนี้ มุ่งหวังให้พันธมิตรด้านความมั่นคงของอเมริกา ในอ่าวเปอร์เซียซึ่งทำงานร่วมกับอิสราเอล รับผิดชอบด้านความมั่นคงในภูมิภาคมากขึ้น ในทางกลับกัน วิสัยทัศน์ดังกล่าวจะช่วยให้อเมริกา สามารถจัดสรรทรัพยากรทางทหารใหม่ ให้กับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งอเมริกามุ่งเน้นที่การต่อต้านจีนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม อเมริกาเชื่อว่าอิหร่านซึ่งมีศักยภาพด้านนิวเคลียร์จะบ่อนทำลาย ระเบียบในภูมิภาคนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในทางกลับกัน สำหรับรัสเซียและจีน ซึ่งการขาดหายไปจากสงครามครั้งนี้ ถือเป็นเรื่องที่น่าตกใจ สถานการณ์ดังกล่าว ถือเป็นความขัดแย้งเชิงยุทธศาสตร์ ในแง่หนึ่ง การที่อเมริกาเสียสมาธิและจมอยู่กับความขัดแย้งในตะวันออกกลางนั้น ส่งผลดีต่อทั้งปักกิ่งและมอสโกว ในอีกด้านหนึ่ง สถานการณ์ดังกล่าว ยังต้องแลกมาด้วยการที่อิหร่าน ซึ่งเป็นพันธมิตรในภูมิภาคสำคัญของประเทศอ่อนแอลง
ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน ทั้ง 2 มหาอำนาจจึงเลือกที่จะอยู่ข้างสนาม รัสเซียจมอยู่กับสงครามในยูเครน ในขณะที่จีนซึ่งมุ่งเน้นที่การรักษาเสถียรภาพ ทางเศรษฐกิจท่ามกลางสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้นกับอเมริกา ไม่ค่อยสนใจที่จะเกี่ยวพันกับภายนอก ส่งผลให้ทั้ง 2 ประเทศต่างไม่ให้การสนับสนุนทางการทหาร ที่เป็นรูปธรรมแก่เตหะราน และ ไม่ได้ดำเนินการใดๆ เพื่อห้ามไม่ให้วอชิงตันโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่าน
ทั้ง 2 มหาอำนาจไม่สามารถปล่อยให้อิสราเอล ครอบงำตะวันออกกลาง ในลักษณะที่อาจทำให้ระเบียบภูมิภาคที่นำโดยอเมริกา เสื่อมถอยลงได้ หลังจากการหยุดยิง จีนและรัสเซียมีแนวโน้มที่จะให้ความสำคัญ กับการรักษาเสถียรภาพของอิหร่าน และ ค่อยๆฟื้นฟูเศรษฐกิจและศักยภาพทางการทหาร เพื่อให้สามารถป้องกันตัวเองได้ดีขึ้นในอนาคต คำถามเร่งด่วนกว่าคือ "ปักกิ่งและมอสโกจะสนับสนุนความพยายาม ด้านนิวเคลียร์ของเตหะรานหรือไม่? หากเตหะรานตัดสินใจเร่งพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์?"
อย่างไรก็ตามการหยุดยิงในฉนวนกาซา ระหว่างฮามาสและอิสราเอล ซึ่งอเมริกาเป็นตัวกลางอีกครั้ง จะช่วยบรรเทาความตึงเครียดในภูมิภาคตะวันออกกลางได้ หากการหยุดยิงเกิดขึ้นจริง แสดงว่าการหยุดยิงระหว่างอิหร่านและอิสราเอล จะยังคงดำเนินต่อไป โดยเปิดพื้นที่ให้อเมริกาและอิหร่านเจรจากันโดยตรง เกี่ยวกับประเด็นนิวเคลียร์และภูมิภาคได้มากพอสมควร ในทำนองเดียวกัน การหยุดยิงในฉนวนกาซา จะเป็นช่องทางให้เกิดความคิดริเริ่มในภูมิภาค เพื่อกำหนดอนาคตของการปกครองและความมั่นคงในฉนวนกาซา โดยได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งขัน จากซาอุดีอาระเบียและอียิปต์ ความคืบหน้าที่จับต้องได้ใดๆ ในฉนวนกาซาจะสร้างแรงผลักดัน ให้ซาอุดีอาระเบียและประเทศอาหรับอื่นๆ เข้าร่วมข้อตกลงอับราฮัม และ ในกระบวนการนี้ จะทำให้เกิดการปฏิรูประเบียบ ในภูมิภาคอย่างมีประสิทธิผล
ในขณะนี้ ปัจจัยที่ยังไม่เป็นที่รู้จักมากมาย ที่รายล้อมปริศนาทางภูมิรัฐศาสตร์ ในตะวันออกกลางในปัจจุบัน ทำให้กลายเป็นจุดชนวนความขัดแย้ง ที่ไม่อาจคาดเดาได้ แต่ในขณะที่คู่สงคราม ประเทศในภูมิภาค และ มหาอำนาจต่างประเมินผลของสงคราม ผู้ที่ปรารถนาใช้อาวุธนิวเคลียร์ทั่วโลก กำลังได้รับบทเรียนอันน่าตกตะลึง นั่นคืออาวุธนิวเคลียร์ยังคงเป็นเครื่องรับประกัน ความมั่นคงของรัฐในขั้นสุดท้าย






















