ผู้ย้ายถิ่นฐานชาวบังคลาเทศต้องเผชิญกับการเป็นทาสยุคใหม่
สำหรับชาวบังคลาเทศหลายพันคน ที่ต้องหลบหนีจากภัยพิบัติทางสภาพอากาศ การอพยพเป็นทางออกที่สิ้นหวัง แต่ต้องแลกมาด้วยราคาที่แสนแพง
ตามการสำรวจของ "สถาบันระหว่างประเทศ เพื่อสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา" พบว่า "เกือบทุกคนที่อพยพไปต่างประเทศ จากภูมิภาคที่เปราะบางต่อสภาพภูมิอากาศ ของบังกลาเทศ ต้องเผชิญกับการเป็นทาสยุคใหม่ อย่างน้อยหนึ่งรูปแบบในระหว่างทำงาน"
ผลการศึกษาของ "สถาบันระหว่างประเทศ เพื่อสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา" เรื่อง "การเปิดเผยและการใช้ประโยชน์ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การอพยพ และ การค้ามนุษย์ยุคใหม่ในบังกลาเทศ" ซึ่งเผยแพร่เมื่อวานนี้ [ตามเวลาท้องถิ่น] ระบุว่า "การค้าทาสสมัยใหม่มีหลากหลายรูปแบบ" โดยผู้ตอบแบบสำรวจรายงานว่า "เคยถูกหักค่าจ้าง ถูกจำกัดการเดินทาง ถูกกดขี่ ถูกคุกคาม ถูกข่มขู่ และ แม้แต่ถูกทำร้ายร่างกาย"
การศึกษาดังกล่าว ได้สำรวจครัวเรือน 648 ครัวเรือน ใน 33 หมู่บ้าน ใน 19 สหภาพแรงงาน โดย 10 ครัวเรือนอยู่ในมัทบาเรีย ของปิโรจปุระ และ 9 ครัวเรือน อยู่ในเกาเอ็นฮัท ของซิลเฮต โดยเลือกครัวเรือนที่มีความเสี่ยงสูง ต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จากจำนวนนี้ 70.06 เปอร์เซ็นต์ เป็นครัวเรือนที่ย้ายถิ่นฐาน [ภายในประเทศและต่างประเทศ] ในขณะที่ 29.94 เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่ครัวเรือนที่ย้ายถิ่นฐาน
การสำรวจนี้จัดทำขึ้นในปี 2024-2025 โดย "สถาบันระหว่างประเทศ เพื่อสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา" และ โครงการ "โอวิบาชิ คาร์มี อุนนายาน" ซึ่งได้รับทุนจาก "กองทุนนวัตกรรมการค้าทาสสมัยใหม่" ของกระทรวงมหาดไทย ของอังกฤษ
รายงานระบุว่า "ในบรรดาผู้อพยพภายในประเทศ 92 เปอร์เซ็นต์ ประสบกับการค้ามนุษย์อย่างน้อย 1 รูปแบบ โดยมากกว่า 52 เปอร์เซ็นต์ ประสบกับการค้ามนุษย์มากกว่า 3 รูปแบบ" สำหรับผู้อพยพระหว่างประเทศ การค้ามนุษย์ในยุคใหม่แพร่หลายยิ่งกว่า โดย 99 เปอร์เซ็นต์ รายงานว่า "มีการค้ามนุษย์อย่างน้อย 1 รูปแบบ และ 81 เปอร์เซ็นต์ ประสบกับการค้ามนุษย์มากกว่า 5 รูปแบบ"
รายงานยังระบุเพิ่มเติมว่า "วิกฤตดังกล่าวมีสาเหตุมาจาก การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ"
ในช่วง 6 ทศวรรษที่ผ่านมา ภัยพิบัติที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศ ในบังกลาเทศเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่า โดยเพิ่มขึ้นจาก 4 ครั้งต่อปี ก่อนปี 1990 เป็น 7 ครั้งต่อปีหลังจากนั้น
รายงานระบุว่า "พายุไซโคลน การกัดเซาะแม่น้ำ และ การรุกล้ำของน้ำเค็ม ได้ทำลายพืชผล สัตว์เลี้ยงจมน้ำ และ สูญเงินเก็บจนหมด ทำให้หลายครอบครัวไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องย้ายออกไป"
ในพื้นที่ๆได้รับผลกระทบหนักที่สุดบางแห่ง เช่น ปิโรจปุระและซิลเฮต ประชาชนร้อยละ 99 เปอร์เซ็นต์ กล่าวว่า "อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น" ในขณะที่ร้อยละ 90 เปอร์เซ็นต์ กล่าวว่า "การกัดเซาะแม่น้ำแย่ลง" เมื่อแหล่งทำกินลดลง การอพยพก็เพิ่มสูงขึ้นมาก
ประมาณ 84 เปอร์เซ็นต์ของครอบครัว ได้ย้ายไปยังเมืองต่างๆ เช่น ธากา คูลนา และ จิตตะกอง ตั้งแต่ปี 2011 เพื่อหางานทำ โดยส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรม ที่มีการเอารัดเอาเปรียบ และ อีก 88 เปอร์เซ็นต์ ส่งญาติไปต่างประเทศ ส่วนใหญ่ไปยังประเทศในอ่าวเปอร์เซีย ซึ่งหลายคนต้องเผชิญกับสภาพ การทำงานที่รุนแรง!!
ผลการศึกษายังพบอีกว่า "ครัวเรือนที่เผชิญกับความเสี่ยง ด้านสภาพอากาศที่สูงขึ้น มีแนวโน้มที่จะย้ายถิ่นฐานภายในประเทศ เพิ่มขึ้นร้อยละ 161 เปอร์เซ็นต์" และ "มีแนวโน้มที่จะย้ายถิ่นฐานไปต่างประเทศ เพิ่มขึ้นร้อยละ 214 เปอร์เซ็นต์" ซึ่งเน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของแรงกระแทก ที่เกิดจากสภาพอากาศ ที่กระตุ้นให้เกิดการอพยพระหว่างภัยพิบัติ
ครัวเรือนที่มีการศึกษาที่ดีกว่า และ ถือครองที่ดินมากกว่า มีแนวโน้มที่จะย้ายถิ่นฐานไปต่างประเทศเพิ่มขึ้น 356 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงธรรมชาติ ของการย้ายถิ่นฐาน ทั้งที่เป็นกลยุทธ์การรับมือและการปรับตัว
"ริตู ภารัทวาจ" นักวิจัยหลักของ "สถาบันระหว่างประเทศ เพื่อสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา" และ ผู้เขียนร่วมของรายงาน กล่าวว่า "มีระบบต่างๆ ที่สามารถบรรเทาผลกระทบได้ เช่น โครงการประกันการจ้างงานในพื้นที่ชนบท ที่ใช้ในอินเดียซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้าน ในฐานะประเทศที่มีรายได้ต่ำ บังกลาเทศอาจต้องได้รับความช่วยเหลือจากนานาชาติ เพื่อริเริ่มโครงการที่คล้ายกัน แต่โครงการงานที่เน้นสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ที่ทนทานต่อภัยพิบัติอาจเป็นแรงผลักดันครั้งใหญ่ สำหรับผู้คนที่ได้รับผลกระทบ จากภาวะโลกร้อนมากที่สุด" และ "นอกจากนี้ยังช่วยปกป้องแรงงานเหล่านี้ จากนายจ้างที่เอาเปรียบแรงงานอพยพที่สิ้นหวัง สถิติที่น่ากังวลเหล่านี้ แสดงให้เห็นว่าการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ในยุคใหม่ มีความสำคัญเพียงใด"
การศึกษานี้เรียกร้อง ให้มีการแทรกแซงต่างๆมากมาย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการเพื่อให้การอพยพมีความปลอดภัย เช่น การลงทุนทางการเงินเพื่อสภาพอากาศ ในระบบเตือนภัยล่วงหน้า การปลูกพืชพันธุ์ที่มีความทนทานมากขึ้น เพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม และ การควบคุมหน่วยงานจัดหางาน...















