กันต์ กันตถาวร ไม่รอด! อัยการสั่งฟ้อง เปิด 5 ข้อหาโทษหนักแค่ไหน
ความคืบหน้าคดี 18 บอส ดิ ไอคอน กรุ๊ปอัยการสั่งฟ้อง 16 ราย ไม่ฟ้อง 2 ราย
สำนักงานอัยการสูงสุด ได้เตรียมนัดฟังคำสั่งคดีที่เกี่ยวข้องกับ 18 ผู้ต้องหาในเครือข่ายของ บริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป ซึ่งถูกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ตั้งข้อหาหลายประการ โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2568 นายศักดิ์เกษม นิไทรโยค ผู้ตรวจการอัยการ และโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่าพนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ ได้พิจารณาสำนวนคดีและมีความเห็นดังต่อไปนี้
รายละเอียดข้อกล่าวหาและผู้เกี่ยวข้อง
ผู้ต้องหาทั้งหมดถูกตั้งข้อหาหลัก 5 ข้อ ดังนี้
1. ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน (แชร์ลูกโซ่)
2. ร่วมกันประกอบธุรกิจขายตรง โดยไม่ได้รับอนุญาต
3. ร่วมกันประกอบธุรกิจตลาดแบบตรง ที่ชักชวนบุคคลเข้าร่วมเครือข่ายเพื่อผลประโยชน์ตอบแทนในลักษณะผิดกฎหมาย
4. ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน
5. ร่วมกันโดยทุจริตหรือหลอกลวงนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์
ผู้ต้องหาที่ถูกสั่งฟ้องรวม 16 ราย รวมถึงบุคคลสำคัญ เช่น
นายวรัตน์พล หรือ พอล
นายกันต์ กันตถาวร
ผู้บริหารและตัวแทนบริษัทอีกหลายราย
ในขณะเดียวกัน อัยการมีคำสั่ง ไม่ฟ้อง ผู้ต้องหา 2 ราย คือ
1. นายยุรนันท์ หรือ แซม
2. นางสาวพีชญา หรือ มีน
เนื่องจากไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะรับฟังได้ว่าทั้งสองคนมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด
นายชาญชัย ชลานนท์นิวัฒน์ ที่ปรึกษาโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ได้ชี้แจงถึงขั้นตอนหลังคำสั่งไม่ฟ้องว่า
1. พนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษได้ดำเนินการยื่นคำร้องขอปล่อยตัวผู้ต้องหาที่ไม่ได้ถูกฟ้องทั้ง 2 รายต่อศาลอาญา
2. สำนวนคำสั่งไม่ฟ้องถูกส่งต่อไปยังอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เพื่อพิจารณาว่าจะมีความเห็นแย้งคำสั่งไม่ฟ้องหรือไม่
3. หากอธิบดี DSI มีความเห็นว่าไม่ฟ้อง คดีดังกล่าวจะสิ้นสุดลงทันที
ในกรณีที่มีความเห็นแย้ง อธิบดี DSI จะต้องส่งสำนวนกลับไปยังสำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาชี้ขาดอีกครั้ง
ที่ผ่านมา ทนายความของทั้งฝั่งผู้ต้องหาและผู้เสียหายได้ยื่นคำร้องขอความเป็นธรรมต่อพนักงานอัยการ โดยสำนักงานคดีพิเศษได้ทำการตรวจสอบคำร้องและสั่งสอบพยานเพิ่มเติมเพื่อพิจารณาว่ามีหลักฐานเพียงพอหรือไม่
อัยการยืนยันว่าคดีนี้มีพยานหลักฐานที่เพียงพอสำหรับการตัดสินใจสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง และหากผู้ที่เกี่ยวข้องเห็นว่ายังไม่ได้รับความเป็นธรรม ควรนำข้อเรียกร้องเหล่านี้ไปเป็นข้อต่อสู้ในชั้นศาล
สำหรับผู้ต้องหาที่ถูกสั่งฟ้อง 16 ราย เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์จะนำตัวออกจากเรือนจำในวันที่ 9 มกราคม 2568 เพื่อนำตัวไปยังศาลอาญาเพื่อฟังคำสั่งว่าศาลจะรับฟ้องคดีหรือไม่ หากศาลพิจารณารับฟ้อง คดีจะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาในชั้นศาลต่อไป
คดีนี้ถือเป็นหนึ่งในคดีที่ได้รับความสนใจจากสาธารณชน เนื่องจากเกี่ยวข้องกับผู้บริหารและผู้มีชื่อเสียงในวงการธุรกิจ การฟ้องร้องในข้อหาแชร์ลูกโซ่และฉ้อโกงประชาชน ทำให้เกิดความตื่นตัวเกี่ยวกับการลงทุนและธุรกิจเครือข่ายในสังคมไทย
ประชาชนส่วนใหญ่หวังว่าคดีนี้จะสร้างมาตรฐานและความชัดเจนในเรื่องของการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการทำธุรกิจ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ซ้ำอีกในอนาคต