ข้าวกะเพราราคา 75 บาท แต่สภาพดูไม่ได้!
ข้าวกะเพรา-หมูกระเทียมราคา 75 บาท สั่งผ่านแอปฯ กลายเป็นกระแสดราม่าในกลุ่มผู้บริโภค
กลายเป็นประเด็นร้อนบนโลกออนไลน์ เมื่อผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “Naniiz Srimaneewong” ได้โพสต์ภาพข้าวกะเพราและหมูกระเทียมที่สั่งมารับประทานผ่านแอปพลิเคชันส่งอาหารลงในกลุ่ม “พวกเราคือผู้บริโภค” พร้อมข้อความระบายความในใจว่า
“ข้าวกะเพรา หมูกระเทียม !! ราดข้าว แต่สั่งแยก คงน่าจะได้เท่านี้ละมั้ง กล่องละ 75 บาท พริกน้ำปลาน่าสงสารสุด ยุคข้าวยากหมากแพง หิวดึกเป็นเหตุ”
ภาพที่ถูกโพสต์เผยให้เห็นอาหารในกล่องซึ่งประกอบไปด้วยข้าวสวยและกับข้าวที่มีปริมาณน้อยเมื่อเทียบกับราคา 75 บาท ขณะที่ถุงพริกน้ำปลาขนาดเล็กยิ่งสร้างความสะเทือนใจให้กับผู้พบเห็น
โพสต์ดังกล่าวได้รับความสนใจและถูกแชร์ออกไปอย่างกว้างขวาง โดยมีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก หลายคนแสดงความไม่พอใจกับปริมาณอาหารที่ได้รับเมื่อเทียบกับราคาที่ต้องจ่าย บางคนยังกล่าวถึงราคาสินค้าและบริการในยุคเศรษฐกิจที่ค่าใช้จ่ายพุ่งสูงขึ้น
ความคิดเห็นที่หลั่งไหลเข้ามาในโพสต์ดังกล่าวสะท้อนความรู้สึกของผู้บริโภคในปัจจุบัน เช่น
“ยุคนี้ข้าวกล่องในร้านสะดวกซื้อยังถูกกว่าอาหารตามสั่ง แถมปริมาณเยอะกว่าด้วย”
“เข้าใจว่าร้านต้องบวกค่าส่งแอปฯ แต่ถ้าจะให้น้อยขนาดนี้ก็ไม่ไหวจริงๆ”
“พริกน้ำปลาถุงเล็กๆ เห็นแล้วอดสงสารไม่ได้ น่าจะเพิ่มให้อีกนิดเพื่อความสมดุล”
“ข้าวแยกกับราดข้าวราคาเท่ากัน แต่ได้ปริมาณต่างกันมาก สงสัยว่ามีเกณฑ์ตัดสินปริมาณยังไง”
บางความคิดเห็นยังเปรียบเทียบกับร้านสะดวกซื้อที่ขายข้าวกล่องในราคาถูกกว่า และระบุว่าในยุคที่ค่าครองชีพสูงขึ้น ผู้บริโภคต้องคำนวณค่าใช้จ่ายมากขึ้น
การถกเถียงในครั้งนี้ไม่ได้หยุดเพียงแค่เรื่องปริมาณอาหาร แต่ยังสะท้อนถึงปัญหาในวงกว้างเกี่ยวกับค่าครองชีพในยุคเศรษฐกิจผันผวน ที่ทำให้หลายคนรู้สึกว่าคุณภาพชีวิตของผู้บริโภคถูกลดทอนลง
ทั้งนี้ การสั่งอาหารผ่านแอปพลิเคชันส่งอาหารมักมีค่าบริการเพิ่มเติม เช่น ค่าแพ็กเกจจิ้ง ค่าส่ง และค่าดำเนินการต่างๆ ทำให้ราคาอาหารสูงกว่าการซื้อที่ร้านโดยตรง อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคยังคาดหวังถึงความสมดุลระหว่างราคากับคุณภาพของอาหาร
ผู้ประกอบการร้านอาหารบางส่วนที่ติดตามประเด็นนี้ออกมาแสดงความคิดเห็นว่า ปัจจัยที่ทำให้ราคาอาหารสูงขึ้นมาจากหลายปัจจัย เช่น ต้นทุนวัตถุดิบ ค่าจ้างแรงงาน และค่าธรรมเนียมแพลตฟอร์มส่งอาหาร ซึ่งผู้ประกอบการต้องพยายามหาทางลดต้นทุนเพื่อรักษาผลกำไร
ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์ชี้ว่า ปัญหานี้สะท้อนถึงผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อที่ส่งผลต่อทุกภาคส่วน และการปรับตัวของผู้บริโภคที่อาจเลือกซื้ออาหารจากช่องทางที่คุ้มค่ากว่า เช่น ร้านสะดวกซื้อหรือการทำอาหารกินเอง