ฆาตกรลิปสติกเขียนข้อความให้ ตร.รีบจับเขาให้ได้ก่อนที่เขาจะฆ่าคนอีก เพราะควบคุมตัวเองไม่ได้
วิลเลียม ไฮเรนส์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ "Lipstick Killer" เป็นหนึ่งในฆาตกรที่มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์อาชญากรรมของสหรัฐอเมริกา ในช่วงกลางทศวรรษ 1940 เขาได้ก่อเหตุฆาตกรรมผู้หญิงสามคนในชิคาโก ซึ่งทำให้เกิดความตื่นตระหนกและความกลัวในหมู่ประชาชน ข้อความที่เขียนด้วยลิปสติกซึ่งถูกพบในที่เกิดเหตุของการฆาตกรรมหนึ่ง กลายเป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนถึงความโหดร้ายและความซับซ้อนของจิตใจมนุษย์
ข้อความที่น่าขนลุกนั้นมีเนื้อความว่า “For heavens sake catch me before I kill more I cannot control myself.” ข้อความนี้ไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงความวิตกกังวลของผู้กระทำผิด แต่ยังบ่งบอกถึงการต่อสู้ภายในจิตใจของเขาเอง ที่ต้องการให้ตำรวจจับกุมเขาเพื่อหยุดยั้งการฆาตกรรมที่เขาไม่สามารถควบคุมได้ ความรู้สึกนี้สร้างความสับสนให้กับผู้คน เพราะมันทำให้เราตั้งคำถามเกี่ยวกับธรรมชาติของอาชญากรรมและจิตใจของฆาตกร
การฆาตกรรมครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 1945 เมื่อฟรานเซส บราวน์ ถูกพบเสียชีวิตในบ้านของเธอ โดยมีมีดปักอยู่ที่คอและกระสุนปืนที่ศีรษะ ข้อความลิปสติกถูกเขียนไว้บนผนังเหนือศพของเธอ ทำให้เกิดการรายงานข่าวอย่างกว้างขวางและสร้างความตื่นตระหนกในชุมชน ต่อมาในเดือนมกราคม 1946 ซูซาน เดกแนน วัยหกขวบก็หายตัวไป และศพของเธอถูกพบว่าถูกตัดเป็นชิ้น ๆ กระจายอยู่ตามท่อระบายน้ำ ความโหดร้ายของอาชญากรรมเหล่านี้ทำให้เกิดการค้นหาผู้ต้องสงสัยอย่างเข้มข้น และทำให้ประชาชนรู้สึกไม่ปลอดภัย
เมื่อไฮเรนส์ถูกจับกุม เขาได้สารภาพว่าเป็นผู้ฆ่าฟรานเซส บราวน์ และซูซาน เดกแนน แต่ต่อมาเขาก็ได้ถอนคำสารภาพ โดยอ้างว่าถูกตำรวจทรมานเพื่อให้สารภาพ การต่อสู้ทางกฎหมายของเขายืดเยื้อไปหลายปี และแม้ว่าเขาจะถูกตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิต แต่คำถามเกี่ยวกับความบริสุทธิ์ของเขายังคงอยู่
คดีนี้ยังคงสร้างความสนใจและการอภิปรายเกี่ยวกับการตัดสินผิดพลาดในระบบยุติธรรม การวิเคราะห์ลายมือที่เชื่อมโยงเขากับข้อความลิปสติกก็ได้รับการตั้งคำถามจากนักวิจารณ์หลายคน โดยบางคนเชื่อว่ามันอาจเป็นการสร้างข่าวเพื่อเพิ่มความน่าสนใจให้กับเรื่องราว
วิลเลียม ไฮเรนส์ เสียชีวิตในปี 2012 หลังจากใช้เวลามากกว่า 65 ปีในเรือนจำ คดีของเขายังคงเป็นเครื่องเตือนใจถึงความซับซ้อนของจิตใจมนุษย์และผลกระทบที่เกิดจากอาชญากรรม การศึกษาคดีนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้เราเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติของอาชญากรรม แต่ยังเปิดโอกาสให้เราพิจารณาถึงระบบยุติธรรมและวิธีการป้องกันไม่ให้อาชญากรรมเช่นนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต