อ.เจษฎ์ ชี้แจง กรณีเด็กญี่ปุ่นวิจัยน้ำดื่มไทย พบ 'น้ำสิงห์' มีค่า TDS สูงสุดในบรรดายี่ห้ออื่น
ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเพจ "อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์" ชี้แจงเกี่ยวกับงานวิจัยของเด็กญี่ปุ่นในไทยที่ทำการวัดค่า TDS ในน้ำดื่มบรรจุขวดยี่ห้อต่าง ๆ ซึ่งพบว่า ‘น้ำสิงห์’ มีค่า TDS สูงสุดเมื่อเทียบกับยี่ห้ออื่น ทำให้เกิดการแชร์ข้อมูลในสื่อสังคมออนไลน์ โดยหลายคนเข้าใจผิดว่าค่า TDS สูงเท่ากับความกระด้างของน้ำ
ในงานวิจัยนี้พบว่า ‘น้ำสิงห์’ มีค่า TDS สูงถึง 305 ppm ซึ่งเป็นค่าสูงที่สุดเมื่อเทียบกับน้ำแร่มิเนเร่ที่มีค่า TDS 261 ppm และน้ำดื่มจิฟฟี่ที่มีค่า TDS ต่ำสุดเพียง 2 ppm อย่างไรก็ตาม ดร.เจษฎาได้ชี้แจงว่า ค่า TDS (Total Dissolved Solids) หรือ ปริมาณของแข็งละลายในน้ำ ไม่ใช่ค่าที่บ่งบอกถึงความกระด้างของน้ำอย่างที่หลายคนเข้าใจผิด การที่น้ำสิงห์มีค่า TDS สูงกว่ายี่ห้ออื่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
อ.เจษฎ์ อธิบายเพิ่มเติมว่า ค่า TDS คือการวัดปริมาณของแข็งที่ละลายในน้ำ ซึ่งรวมถึงแร่ธาตุ เกลือ ไอออน และสารอินทรีย์ต่าง ๆ ที่พบอยู่ในน้ำ ค่า TDS ที่วัดได้จากงานวิจัยในกรณีนี้ยังคงอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่เป็นอันตรายต่อการบริโภค เนื่องจากตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข กำหนดให้ค่า TDS ในน้ำดื่มบรรจุขวดไม่ควรเกิน 500 ppm ดังนั้น ค่าน้ำสิงห์ที่วัดได้ 305 ppm ยังคงอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่ปลอดภัย
นอกจากนี้ อ.เจษฎ์ ยังชี้ให้เห็นว่าการที่น้ำดื่มสิงห์และน้ำแร่มีค่า TDS สูงนั้น เกิดจากกระบวนการผลิตที่ใช้การกรองแบบ Ultrafiltration ซึ่งเป็นกระบวนการที่ยังคงแร่ธาตุในน้ำไว้ ในขณะที่น้ำดื่มยี่ห้ออื่น ๆ ที่มีค่า TDS ต่ำมักจะผ่านการกรองแบบ Reverse Osmosis (RO) ซึ่งกรองเอาแร่ธาตุและของแข็งละลายออกไปจนหมด ทำให้ค่า TDS ต่ำใกล้เคียงศูนย์
ดร.เจษฎา สรุปว่า การที่น้ำดื่มมียี่ห้อใดมีค่า TDS สูง ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นน้ำที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ตราบใดที่ค่า TDS ไม่เกินมาตรฐานที่กำหนด โดยค่า TDS ที่สูงอาจส่งผลต่อรสชาติของน้ำ แต่ไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค นอกจากนี้ ค่า TDS และความกระด้างของน้ำก็เป็นคนละเรื่องกัน ซึ่งการที่น้ำมีค่า TDS สูงไม่ได้หมายความว่าจะเป็นน้ำกระด้าง