ประท้วงเดือดไล่รัฐบาลรอบใหม่ในบังกลาเทศ ทำคนดับไปแล้วมากกว่า 90 รายใน 1 วัน
เป็นการรายงานข่าวมาจากสำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงธากา ประเทศบังกลาเทศในวันนี้ (5 สิงหาคม 2567) ว่าสื่อท้องถิ่นหลาบแห่งในบังกลาเทศรายงานโดยอ้างข้อมูลด้านการสืบสวนสอบสวน ว่าจำนวนผู้เสียชีวิต จากการประท้วงต่อต้านรัฐบาลในบังกลาเทศเพิ่มเป็นมากกว่า 90 ราย ในจำนวนนี้รวมตำรวจอย่างน้อย 14 นาย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกหลายร้อยคน เฉพาะเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
จากการที่บรรดานักศึกษายกระดับแคมเปญประท้วงต่อต้านรัฐบาล เป็นการแสดงอารยะขัดขืนทั่วประเทศ เพื่อเพิ่มแรงกดดันให้นายกรัฐมนตรีชีค ฮาสินา ลาออกจากตำแหน่ง ทั้งนี้ จำนวนผู้เสียชีวิตดังกล่าวเพิ่มสถิติผู้เสียชีวิต จากการประท้วงซึ่งปะทุเมื่อเดือนก.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการเรียกร้องการแก้ไขการจัดสรรโควตาตำแหน่งงานราชการ เพิ่มเป็นอย่างน้อย 283 รายแล้ว
ขณะที่รัฐบาลบังกลาเทศพยายามควบคุมสถานการณ์ ด้วยการประกาศเคอร์ฟิวครั้งใหม่ หลังตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมา มีรายงานการจับกุมผู้ประท้วงแล้วมากกว่า 10,000 คน ด้านฮาสินายื่นข้อเสนอเจรจากับแกนนำผู้ประท้วง ที่ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษา แต่ไม่ได้รับการตอบสนอง โดยผู้ประท้วงยื่นคำขาดว่า นายกรัฐมนตรีต้องลาออกจากตำแหน่งเท่านั้น ด้านนายโฟลเคอร์ เติร์ก ข้าหลวงด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ (UN) เรียกร้องคู่กรณีทุกฝ่ายถอยห่างจากการใช้ความรุนแรงต่อกัน
และแสดงความวิตกกังวล ว่าการเดินขบวนประท้วงครั้งใหม่ในวันจันทร์ที่ 5 ส.ค. จะนำมาซึ่งความสูญเสียเป็นวงกว้างอีก อย่างไรก็ตาม นายอนิซุล ฮุค รมว.กระทรวงยุติธรรมบังกลาเทศ กล่าวว่า รัฐบาลอดกลั้นถึงขีดสุดแล้ว มิเช่นนั้น ความสูญเสียจะเกิดขึ้นเป็นวงกว้างมากกว่านี้ ส่วนกองทัพบังกลาเทศเผยแพร่แถลงการณ์ ของพล.อ.วาเกอร์-อุซ-ซามัน ประธานคณะเสนาธิการทหารร่วมคนปัจจุบัน ยืนยันว่า กองทัพบังกลาเทศคือสัญลักษณ์แห่งความเชื่อมั่นของประชาชน
อนึ่ง ศาลฎีกาของบังกลาเทศมีคำพิพากษา เมื่อปลายเดือนก.ค. ที่ผ่านมา ปรับโควตาการสงวนตำแหน่งงานราชการ ไว้ให้กับบุตรหลาน และทายาทของวีรบุรุษสงคราม ซึ่งร่วมรบและต่อสู้ เพื่อให้บังกลาเทศเป็นเอกราชจากปากีสถาน เมื่อปี 2514 จากที่เคยสูงถึง 30% ให้ลดลงเหลือเพียง 5% แม้การกำหนดโควตาใหม่โดยศาลฎีกา จะนำไปสู่การเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างมาก และมีนัยสำคัญกับตลาดแรงงานในบังกลาเทศ อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นยังไม่สอดคล้องกับข้อเรียกร้องของผู้ประท้วงส่วนใหญ่ ซึ่งต้องการให้ยุติการใช้นโยบายเหล่านี้ ที่เป็นการเลือกปฏิบัติอย่างร้ายแรง